บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) แจ้งว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 1/59 ลดลง 19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลงมาก ขณะที่ยอดขายในไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น 9.3% จากเงินบาทอ่อนค่าและความสำเร็จของการเข้าซื้อกิจการ 51% ในบริษัท รูเก้น ฟิช ประเทศเยอรมนี ซึ่งเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาในกลุ่มบริษัทตั้งแต่เดือนก.พ.ที่ผ่านมา รวมถึงมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งขึ้นของธุรกิจในยุโรป รวมถึงธุรกิจแบรนด์ในยุโรป ตลอดจนธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่ดีขึ้น
TU แจ้งผลกำไรสุทธิในไตรมาส 1/59 ที่ระดับ 1,231 ล้านบาท ลดลง 19% จากระดับ 1,519 ล้านบาทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 62.5% จากระดับ 757 ล้านบาทในไตรมาส 4/58 โดยกำไรสุทธิที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการลดลงอย่างมีนัยสำคัญในกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ในงวดไตรมาสนี้อยู่ที่ระดับ 264 ล้านบาท เนื่องจากมีการปรับปรุงทางบัญชีซึ่งเป็นผลจากนโยบายใหม่ของการประเมินราคาของตราสารอนุพันธ์ทางการเงิน ตามหลักของมาตรฐานการรายงานทางการเงินไทย (TFRS) หากไม่มีการปรับปรุงดังกล่าวแล้ว กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจะเท่ากับ 29 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนและในไตรมาส 4/58 ที่มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนระดับ 1,125 ล้านบาท และ 128 ล้านบาทตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิในไตรมาส 1/59 เพิ่มขึ้น 62.5% จากไตรมาส 4/58 เนื่องจากความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินงานที่ดีขึ้น ค่าใช้จ่ายทางการเงินที่ลดลง รวมทั้งไม่มีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ได้แก่ การด้อยค่าของสินทรัพย์ของธุรกิจกองเรือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการเพิ่มทุนและค่าใช้จ่ายสำหรับการเข้าซื้อกิจการ ซึ่งถูกบันทึกในไตรมาส 4/58
สำหรับยอดขายในไตรมาส 1/59 อยู่ที่ระดับ 31,257 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.3% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 6.2% จากไตรมาส 4/58 เนื่องจากผลกระทบของช่วงฤดูกาล โดยมียอดขายในรูปเงินเหรียญสหรัฐที่ระดับ 871 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 0.6% จากงวดปีก่อน และลดลง 5.8% จากไตรมาส 4/58 สำหรับยอดขายที่เติบโตเข้มแข็ง มีสาเหตุหลักจากความสำเร็จของการเข้าซื้อกิจการบริษัท รูเก้น ฟิช ,ผลการดำเนินงานของธุรกิจที่เข้มแข็ง และการอ่อนค่าของค่าเงินบาท
ขณะที่ในด้านอัตรากำไรขั้นต้น ในไตรมาส 1/59 อยู่ที่ 4,848 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.9% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 2.5% จากไตรมาส 4/58 โดยอัตรากำไรขั้นต้นสำหรับไตรมาสนี้อยู่ที่ระดับ 15.5% เทียบกับ 13.8% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และ 14.2% ในไตรมาส 4/58 การเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้น เนื่องจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งขึ้นของธุรกิจในยุโรป รวมถึงแบรนด์ในยุโรป การยกระดับเพื่อเน้นการผลิตสินค้าที่สร้างผลกำไรมากกว่าการเน้นส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์ Chicken of the Sea (COSI) การปรับตัวที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง รวมถึงผลกระทบทางบวกจากราคาวัตถุดิบที่อยู่ในระดับต่ำต่อธุรกิจแบรนด์ทูน่าและธุรกิจการค้ากุ้ง
"ในไตรมาส 1/59 ผลประกอบการของบริษัทเป็นไปตามความคาดหมาย ธุรกิจโดยรวมเป็นไปตามแผน ยอดขายเติบโตขึ้นจากรอบระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมาจากการเติบโตของการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันและการเข้าซื้อกิจการ 51% ในบริษัทซึ่งเป็นผู้นำของธุรกิจอาหารทะเลในประเทศเยอรมนี คือ บริษัท รูเก้น ฟิช การอ่อนค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ และเงินยุโรปเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน มีผลกระทบทางบวกต่อการแปลงค่างบการเงิน บริษัทรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการป้องกันความเสี่ยง แต่อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงมีอยู่ เช่น การแข่งขันที่ทวีความรุนแรงของธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป ในสหรัฐอเมริมา ทำให้บริษัทย่อยพยายามรักษาการทำกำไรที่ยั่งยืนด้วยการเน้นจำหน่ายสินค้าที่สร้างผลกำไรแทนที่จะเน้นยอดขายดังที่ผ่านมา"บริษัทระบุในเอกสารแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ