บอร์ด MAX อนุมัติเข้าลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะ-ธุรกิจสนามกอล์ฟ รวม 450 ลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday July 28, 2016 09:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ. แมกซ์ เมทัล คอร์ปอเรชั่น (MAX) แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทมีมติอนุมัติให้บริษัทเข้าลงทุนในสัดส่วน 20% ของบริษัท ราชบุรี-อีอีพี รีนิวเอเบิ้ล เอนเนอจี้ จำกัด (“R-EEP") ซึ่งประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะ รวมจำนวนหุ้นทั้งสิ้น 10,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ในราคาหุ้นละ 19 บาท จาก บริ ท เอบีพี ไฮเพาเวอร์ จำกัด รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 190 ล้านบาท

โดยโรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงขยะดังกล่าว มีกำลังการผลิต 9.9 MW ได้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้านครหลวงแล้ว 8.0 MW ปัจจุบันการก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ คาดว่าจะสามารถเริ่มขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ภายในเดือนธ.ค.นี้ และจะสามารถรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 60 เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้บริษัทได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนทั้งในรูปของรายได้และกระแสเงินสดในระยะเวลาอันรวดเร็ วและสม่ำเสมอ อันจะช่วยส่งเสริมการเติบโตของรายได้ของบริษัทให้มั่นคงได้ในอนาคต และช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทในระยะยาว

สำหรับแหล่งเงินทุน บริษัทจะใช้จากเงินเพิ่มทุนที่คงเหลืออยู่ 839 ล้านบาท โดยใช้เงินทุนดังกล่าวลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าตามแผน โดยบริษัทได้ทำบันทึกข้อตกลงเพื่อวางเงินมัดจำ โดยได้วางเงินมัดจำไปจำนวน 10 ล้านบาทเพื่อตรวจสอบข้อมูลธุรกิจ (Due Diligence) และอยู่ภายใต้เงื่อนไขความพึงพอใจในผลของการตรวจสอบข้อมูลธุรกิจ โดยบริษัทจะชำระราคาซื้อขายในส่วนที่เหลือจำนวน 180 ล้านบาท ก็ต่อเมื่อผู้ขายได้ดำเนินการทำสัญญาจะซื้อจะขายหุ้นพร้อมกับการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิหุ้นของบริษัท R-EEP จำนวน 10 ล้านหุ้นที่กระทรวงพาณิชย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ ยังได้มีมติอนุมัติให้บริษัทเข้าลงทุนในสัดส่วน 80% ในบริษัท เดอะมาเจสติค ครีก คันทรี คลับ จำกัด (“MJC") ซึ่งประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสนามกอล์ฟ โดยการซื้อหุ้นสามัญของ MJC จากบริษัท หัวหินพัฒนา จำกัด จำนวน 20,800,000 หุ้น ในราคา 12.50 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 260,000,000 บาท

เนื่องจาก สอดคล้องกับนโยบายหลักของบริษัท คือ ในระยะสั้นทางบริษัทต้องการให้มีรายได้และกำไรที่แน่นอนและต่อเนื่ องในระยะยาวต่อไป โดย Sector อสังหาริมทรัพย์ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่บริษัทมีเป้าหมายในการลงทุน และเพื่อเป็นการขยายฐานหรือการเพิ่มขอบเขตในการดำเนินธุรกิจไปสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และ เพื่อทำให้บริษัทมีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นในระยะยาว

นอกจากนี้ราคาซื้อหุ้นต่ำกว่าราคาประเมินของมูลค่าบริษัทที่เหมาะสม ทำให้บริษัทได้รับกำไรจากรายการดังกล่าว โดยบริ ษัทได้ให้บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินมูลค่าทรัพย์ ซึ่ง ณ วันที่ 17 มิ.ย.59 ประเมินโดยวิธี Income Method (Discounted Cash Flow) และวิธี Cost Method เท่ากับ 769 ล้านบาท บริษัทได้นำตัวเลขการประเมินมาปรับการประเมิ นมูลค่าหุ้นโดยใช้วิธี Adjusted Book Value จะทำให้มูลค่าทางบัญชีที่ปรับปรุงแล้ว (วิธีต้นทุน) ส่วนผู้ถือหุ้นของบริษัท เท่ากับ 583.04 ล้านบาท มูลค่าต่อหุ้นเท่ากับ 22.42 บาทต่อหุ้น และมูลค่าทางบัญชีที่ปรับปรุงแล้ว (วิธีกระแสเงินสดส่วนลด) ส่วนผู้ถือหุ้ นของบริษัทเท่ากับ 611.35 ล้านบาท มูลค่าต่อหุ้นเท่ากับ 23.51 บาท ทำให้มูลค่าหุ้นที่บริษัทลงทุนจำนวน 20,800,000 หุ้นมีมู ลค่าหุ้นจากการปรับมูลค่าทางบัญชีจะมีมูลค่าเท่ากับ 466.33 – 489.00 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้เจรจาต่อรองโดยลงทุนในราคาเท่ากับ 260 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่ามูลค่าหุ้นที่ประเมินได้

ทั้งนี้ บริษัทจะใช้เงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนคงเหลือที่มีอยู่ในบริษัทจำนวน 839 ล้านบาท จากเดิมที่กำหนดว่าจะใช้เงินเพิ่มทุนดังกล่าวไปลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าเนื่องจากโครงการอสังหาริมทรัพย์สามารถเจรจาตกลงกันได้ก่อนซึ่งจากเดิมที่ได้กำหนดในแผนว่า จะใช้เงินลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากแหล่งเงินทุนที่ได้รับจากการออก TSR ทางบริษัทจึงต้องนำเงินเพิ่มทุนคงเหลือมาลงทุนก่อนที่ตามแผนจะต้องลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้า ซึ่งหากโครงการโรงไฟฟ้าสามารถตกลงกันได้และแหล่งเงินทุนจากการเพิ่มทุนโดยเฉพาะเจาะจงไม่เพียงพอ ทางบริษัทจะนำเงินทุนจากแหล่งเงินทุนที่ได้จากการเพิ่มทุนจาก TSR มาใช้ในการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าต่อไปในอนาคต


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ