นายอิทธิชัย อรุณศรีแสงไชย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แมกซ์ เมทัล คอร์ปอเรชั่น (MAX) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 27 ก.ค.59 มีมติอนุมัติการลงทุนเข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ราชบุรี-อีอีพี รีนิวเอเบิ้ล เอนเนอจี้ จำกัด (R-EEP) มูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 190 ล้านบาท โดยเข้าซื้อหุ้นจำนวนหุ้นทั้งสิ้น 10 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10.00 บาท คิดเป็นสัดส่วน 20% ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วของ R-EEP ในราคาหุ้นละ 19.00 บาท โดยเป็นการซื้อจากบริษัท เอบีพี ไฮเพาเวอร์ จำกัด
สำหรับประโยชน์ที่บริษัทคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนจากการเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 20% ของ R-EEP ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กจากเชื้อเพลิงขยะ กำลังการผลิตสูงสุด 9.9 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ที่ ต.แพรกษาใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ และได้รับสัญญาขายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) แล้วขนาด 8.0 เมกะวัตต์ ปัจจุบันการก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ คาดว่าจะสามารถเริ่มขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ภายในเดือน ธ.ค.59 นี้
นายอิทธิชัย กล่าวว่า บริษัทมีแผนจะขยายโครงการพลังงาน และโครงการพลังงานไฟฟ้าจากขยะอย่างต่อเนื่อง เพราะมีขยะถึง 10 ล้านตัน โดยวางแผนที่จะสร้างเพิ่มถึง 100 เมกะวัตต์ ซึ่งจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนทั้งในรูปแบบของรายได้และกระแสเงินสดในระยะเวลาที่รวดเร็วและสม่ำเสมอ สามารถช่วยส่งเสริมรายได้ของบริษัทให้มั่นคงได้ในอนาคต และช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทในระยะยาว
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทยังมีมติให้ลงทุนเข้าลงทุนซื้อหุ้น 20.80 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 80% คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 260 ล้านบาท ในบริษัท เดอะมาเจสติค ครีก คันทรีคลับ จำกัด (MJC) โดยเป็นการซื้อหุ้นจากบริษัท หัวหินพัฒนา จำกัด เพื่อขยายฐานหรือการเพิ่มขอบเขตในการดำเนินธุรกิจไปสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายหลักของบริษัท
อนึ่ง MAX แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เช้าวันนี้ว่า การเข้าทำรายการซื้อหุ้นใน R-EEP จะทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 60 เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้บริษัทได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนทั้งในรูปของรายได้และกระแสเงินสดในระยะเวลาอันรวดเร็วและสม่ำเสมอ อันจะช่วยส่งเสริมการเติบโตของรายได้ของบริษัทให้มั่นคงได้ในอนาคต และช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทในระยะยาว
สำหรับแหล่งเงินทุน บริษัทจะใช้จากเงินเพิ่มทุนที่คงเหลืออยู่ 839 ล้านบาท โดยบริษัทได้ทำบันทึกข้อตกลงเพื่อวางเงินมัดจำไปจำนวน 10 ล้านบาทเพื่อตรวจสอบข้อมูลธุรกิจ (Due Diligence) และอยู่ภายใต้เงื่อนไขความพึงพอใจในผลของการตรวจสอบข้อมูลธุรกิจ โดยบริษัทจะชำระราคาซื้อขายในส่วนที่เหลือจำนวน 180 ล้านบาทก็ต่อเมื่อผู้ขายได้ดำเนินการทำสัญญาจะซื้อจะขายหุ้นพร้อมกับการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิหุ้นของบริษัท R-EEP จำนวน 10 ล้านหุ้นที่กระทรวงพาณิชย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากสอดคล้องกับนโยบายหลักของบริษัท คือ ในระยะสั้นทางบริษัทต้องการให้มีรายได้และกำไรที่แน่นอนและต่อเนื่องในระยะยาวต่อไป โดย Sector อสังหาริมทรัพย์ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่บริษัทมีเป้าหมายในการลงทุน และเพื่อเป็นการขยายฐานหรือการเพิ่มขอบเขตในการดำเนินธุรกิจไปสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และ เพื่อทำให้บริษัทมีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นในระยะยาว
นอกจากนี้ ราคาซื้อหุ้นใน MJC ต่ำกว่าราคาประเมินของมูลค่าบริษัทที่เหมาะสม ทำให้บริษัทได้รับกำไรจากรายการดังกล่าว โดยบริษัทได้ให้บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินมูลค่าทรัพย์ ซึ่ง ณ วันที่ 17 มิ.ย.59 โดยวิธี Income Method (Discounted Cash Flow) และวิธี Cost Method เท่ากับ 769 ล้านบาท บริษัทได้นำตัวเลขการประเมินมาปรับการประเมินมูลค่าหุ้นจะได้เท่ากับ 466.33-489.00 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้เจรจาต่อรองโดยลงทุนในราคาเท่ากับ 260 ล้านบาท ต่ำกว่ามูลค่าหุ้นที่ประเมินได้
ทั้งนี้ บริษัทจะใช้เงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนคงเหลือที่มีอยู่ในบริษัทจำนวน 839 ล้านบาท จากเดิมที่กำหนดว่าจะใช้เงินเพิ่มทุนดังกล่าวไปลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าเนื่องจากโครงการอสังหาริมทรัพย์สามารถเจรจาตกลงกันได้ก่อนซึ่งจากเดิมที่ได้กำหนดในแผนว่า จะใช้เงินลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากแหล่งเงินทุนที่ได้รับจากการออก TSR ทางบริษัทจึงต้องนำเงินเพิ่มทุนคงเหลือมาลงทุนก่อนที่ตามแผนจะต้องลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้า ซึ่งหากโครงการโรงไฟฟ้าสามารถตกลงกันได้และแหล่งเงินทุนจากการเพิ่มทุนโดยเฉพาะเจาะจงไม่เพียงพอ ทางบริษัทจะนำเงินทุนจากแหล่งเงินทุนที่ได้จากการเพิ่มทุนจาก TSR มาใช้ในการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าต่อไปในอนาคต