บมจ.บ้านปู (BANPU) เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/59 พลิกมีกำไรสุทธิ 281.78 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ผลการดำเนินงานหลักจากธุรกิจถ่านหินยังได้รับผลกระทบจากราคาถ่านหินที่ลดลง แต่ได้รับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมในธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากการเดินเครื่องผลิตของโรงไฟฟ้าหงสาในลาว ครบทุกหน่วยการผลิต และภาระจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลง ช่วยหนุนให้ผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้ดีขึ้น
"งบการเงินไตรมาส 2/59 สะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ดีในธุรกิจถ่านหินจากการบริหารต้นทุนการผลิตให้มีประสิทธิภาพทั้งในอินโดนีเซียและออสเตรเลีย ขณะที่ธุรกิจถ่านหินในจีนเริ่มปรับตัวดีขึ้นจากภาวะตลาดถ่านหินในประเทศที่ส่งสัญญาณฟื้นตัว ส่วนธุรกิจไฟฟ้านั้นมีผลการดำเนินงานเป็นไปตามแผน และในไตรมาสนี้ยังเป็นไตรมาสแรกที่บริษัทได้เริ่มรวมงบการเงินของธุรกิจก๊าซธรรมชาติในสหรัฐ ซึ่งรับรู้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 2 ล้านเหรียญสหรัฐเข้ามาด้วย"บทสรุปความเห็นของผู้บริหาร BANPU ระบุ
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2/59 ของ BANPU มีกำไรสุทธิ 281.78 ล้านบาท หรือ 8 ล้านเหรียญสหรัฐ จากขาดทุนสุทธิ 54.33 ล้านบาท หรือ 2 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ รายได้จากการขาย 469 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามปริมาณขายถ่านหินและราคาขายถ่านหินในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยปริมาณขายถ่านหินลดลง 7% มาที่ 9.27 ล้านตัน เป็นผลจากการลดลงของปริมาณการขายของเหมืองในอินโดนีเซียและออสเตรเลีย ขณะที่ราคาขายถ่านหินอยู่ที่ 46.24 เหรียญสหรัฐ/ตัน ลดลง 18% จากงวดปีก่อน
ขณะที่ต้นทุนขายรวมลดลง 22% มาที่ระดับ 329 ล้านเหรียญสหรัฐ จากปริมาณขายถ่านหินและต้นทุนเฉลี่ยต่อตันที่ลดลง ตามโครงการลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงด้วยตามราคาน้ำมันในตลาดโลก อย่างไรก็ตามในส่วนของกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 140 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากระดับ 182 ล้านเหรียญสหรัฐในงวดปีก่อน
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม 26 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากระดับ 19 ล้านเหรียญสหรัฐในงวดปีก่อน เป็นผลสุทธิจากการรับรู้ผลกำไรของโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี จำนวน 20 ล้านเหรียญสหรัฐ และโรงไฟฟ้าหงสา 13 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่รับรู้ผลขาดทุนของธุรกิจถ่านหินในจีนและอื่น ๆ จำนวน 5 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 2 ล้านเหรียญสหรัฐตามลำดับ
ขณะที่มีภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลงมาที่ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ จาก 18 ล้านเหรียญสหรัฐในงวดปีก่อน เป็นผลจากกำไรจากการดำเนินงานลดลง และการเพิ่มขึ้นสุทธิของสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี รวมถึงในไตรมาสนี้ของปีก่อน มีภาษีหัก ณ ที่จ่ายจากเงินปันผลรับ จำนวน 1 ล้านเหรียญสหรัฐ และรายการปรับปรุงรายการภาษีของกลุ่มบริษัทย่อยในอินโดนีเซีย 2 ล้านเหรียญสหรัฐ