ธนาคารกรุงเทพ (BBL) เผยกำไรสุทธิไตรมาส 3/59 ลดลง 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลง มาจากกำไรจากการจำหน่ายสินทรัพย์ลดลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามในงวดนี้ธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น และมีค่าใช้จ่ายหนี้สูญ หนี้สงสัยจะสูญ และขาดทุนจากการด้อยค่าใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีที่แล้ว
BBL รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/59 มีกำไรสุทธิ 8.06 พันล้านบาท ลดลง 11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลง 11.5% ส่วนใหญ่จากกำไรการจำหน่ายสินทรัพย์ลดลง และค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 10.5% ส่วนหนึ่งจากค่าใช้จ่ายด้านการตลาด ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 11.3% ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินรับฝากลดลง เนื่องจากเงินฝากประจำอัตราดอกเบี้ยสูงทยอยครบกำหนด
ขณะที่เมื่อเทียบกับงวดไตรมาส 2/59 มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 12.4% โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 1.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 2.33% เนื่องจากการบริหารต้นทุนเงินรับฝากให้ลดลง สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 1.09 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.7% ส่วนใหญ่มาจากกำไรสุทธิจากเงินลงทุน ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิมีจำนวน 6.16 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% รายการที่สำคัญมาจากค่าธรรมเนียมจากบริการอิเล็กทรอนิกส์และการโอนเงิน และค่าธรรมเนียมจากบริการกองทุนรวมและบริการประกันชีวิตผ่านธนาคาร สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานมีจำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท ลดลง 4% สาเหตุหลักเกิดจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคารสถานที่และอุปกรณ์ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ลดลง
"อย่างไรก็ตาม ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ธนาคารยังคงยึดหลักความระมัดระวังโดยการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญอย่างต่อเนื่องควบคู่กับการบริหารสินเชื่อด้อยคุณภาพให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม"BBL ระบุ
BBL ระบุอีกว่า ในไตรมาส 3/59 ธนาคารมีค่าใช้จ่ายหนี้สูญ หนี้สงสัยจะสูญ และขาดทุนจากการด้อยค่า จำนวน 4.95 พันล้านบาท เทียบกับ 3.54 พันล้านบาทในไตรมาส 2/59 และจำนวน 4.87 พันล้านบาทในไตรมาส 3/58 สำหรับงวด 9 เดือนปีนี้ ธนาคารมีค่าใช้จ่ายหนี้สูญ หนี้สงสัยจะสูญ และขาดทุนจากการด้อยค่า จำนวน 1.21 หมื่นล้านบาทเทียบกับจำนวน 1.08 หมื่นล้านบาทในงวดเดียวกันของปีก่อน
ในช่วงที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ และการท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สำหรับการส่งออกยังคงมีแนวโน้มหดตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้า ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนในประเทศยังทรงตัว จากปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจดังกล่าวส่งผลให้ ณ สิ้นก.ย.59 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 1.9 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.8% จากสิ้นปี 58 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่และรายกลาง และสินเชื่อลูกค้าบุคคล
จากเศรษฐกิจไทยที่ค่อย ๆ ขยายตัวส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจที่ต้องใช้เวลาในการปรับตัวและฟื้นตัว โดยธนาคารยังคงอยู่เคียงข้างลูกค้าด้วยการให้คำปรึกษาและความช่วยเหลือลูกค้าอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องเสมอมา ณ สิ้นเดือน ก.ย.59 ธนาคารมีสินเชื่อด้อยคุณภาพจำนวน 7.32 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 3.4% ของเงินให้สินเชื่อรวม
ธนาคารมีค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ณ สิ้น ก.ย.59 จำนวน 1.17 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 6.1% ของเงินให้สินเชื่อ ขณะที่สำรองขั้นต่ำตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 5.8 หมื่นล้านบาท โดยค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่มีอยู่คิดเป็น 201.3% ของสำรองขั้นต่ำฯ ทั้งนี้ อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้น ก.ย.59 เท่ากับ 159.5%
ด้านสภาพคล่อง ธนาคารให้ความสำคัญเรื่องการบริหารสภาพคล่องให้เพียงพอควบคู่ไปกับการบริหารต้นทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ณ สิ้นเดือนก.ย. ธนาคารมีเงินรับฝากจำนวน 2.1 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.8% จากสิ้นปีก่อน และมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ 90.3% เพิ่มขึ้นจาก 89.4% ณ สิ้นปีก่อน
ด้านเงินกองทุน ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนอยู่ในระดับที่ดีสามารถรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต ซึ่งหากนับรวมกำไรสุทธิของไตรมาส 3/59 เข้าเป็นเงินกองทุน อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยจะอยู่ในระดับประมาณ 19.2% , 17.3% และ 17.3% ตามลำดับ
ส่วนของเจ้าของ ณ วันที่ 30 ก.ย.59 มีจำนวน 3.7 แสนล้านบาท คิดเป็น 12.9% ของสินทรัพย์รวม และมูลค่าตามบัญชีเท่ากับ 194.30 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 4.74 บาท จากสิ้นปี 58