บมจ.กรีน รีซอร์สเซส (GREEN) ชี้แจงกรณีคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติการซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคารที่พักอาศัยโครงการตักสิลา จ.มหาสารคาม (โครงการร็อคเซีย (Roccia)) มูลค่า 128 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าราคาประเมินกว่าร้อยละ 20 หรือ 106.2 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงเป็นคอนโดมิเนียมสำหรับจำหน่าย โดยพิจารณาชำระเงินมัดจำ จำนวน 25 ล้านบาท ซึ่งพิจารณาจากประโยชน์ของต้นทุนที่ดินที่ลดลง และการจ่ายเงินดังกล่าวไม่มีผลกระทบกับสภาพคล่องในการดำเนินงานของบริษัท ในขณะนั้น และจากการเปิดจำหน่ายโครงการ Roccia ในเดือนเดียวกันนั้น มีผู้สนใจจองโครงการประมาณร้อยละ 33 ของโครงการทั้งหมด ซึ่ง ณ เวลานั้น บริษัทคาดว่าจะสามารถโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้แก่ลูกค้าได้ภายในปี 2557 ซึ่งตามสัญญาผู้รับเหมาจะต้องมีการดำเนินงานแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2557 ตามสัญญา
สำหรับการยกเลิกการซื้อที่ดินดังกล่าว ตามมติคณะกรรมการบริษัทวันที่ 14 กันยายน 2557 เนื่องจากระหว่างนั้นการปรับปรุงโครงการ Roccia เกิดความล่าช้าจากสาเหตุต่าง ๆ ส่งผลให้ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้แก่ลูกค้าได้ตามกำหนด ส่งผลกระทบกับการซื้อที่ดินดังกล่าว ซึ่งจะเพิ่มค่าใช้จ่ายให้แก่บริษัท แม้ว่าที่ดินดังกล่าวจะมีมูลค่าต้นทุนลดลงก็ตาม แต่สาเหตุของความล่าช้าจากการก่อสร้างและปัจจัยต่าง ๆ ทำให้บริษัทเห็นว่าการลงทุนเพิ่มเติมในพื้นที่ดังกล่าว จะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการลงทุนจึงมีมติให้โอนขายสิทธิเงินมัดจำให้แก่ผู้อื่น
และเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2557 ให้ขายสิทธิมัดจำให้แก่บริษัท VPK เหตุผลที่ทำให้บริษัทเชื่อว่า VPK จะมีความสามารถในการชำระเงินเนื่องจากคุณสมบัติของกิจการในเวลานั้น ข้อมูลงบการเงินปี 2556 คือ ทุนจดทะเบียนของบริษัท 801.00 ล้านบาท สินทรัพย์รวม 843.13 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 801.33 ล้านบาท รายได้ 295.46 ล้านบาท และมีขาดทุนสุทธิระหว่างปี 2556 จำนวน 0.69 ล้านบาท จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น แสดงถึงสถานะทางการเงินของบริษัทในด้านความสามารถในการชำระหนี้เนื่องจากมีส่วนของผู้ถือหุ้น 95% ของสินทรัพย์รวม และบริษัทดังกล่าว เสนอราคาในการซื้อสิทธิตามจำนวนเงินมัดจำที่บริษัทฯ จ่ายไป เมื่อเปรียบเทียบกับผู้เสนอราคารายอื่นซึ่งต่ำกว่าเงินมัดจำที่บริษัทจ่ายจริง บริษัทจึงพิจารณาขายสิทธิดังกล่าว
สำหรับกรณีเงินประกันโครงการโนเบิล จ.เชียงใหม่นั้น บริษัทขอชี้แจงเพิ่มเติม ตามมติคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2558 ให้เข้าศึกษาโครงการ โนเบิล จ.เชียงใหม่ ซึ่งผู้จะขายขอให้บริษัทวางเงินประกันจำนวน 50 ล้านบาท ที่ประชุมพิจารณาแล้ว เห็นว่าการศึกษาโครงการดังกล่าวมิได้เป็นการเข้าไปบริหารโครงการ แต่บริษัทฯ สนใจที่จะลงทุนในโครงการดังกล่าวจึงเจรจาขอวางเงินประกันเพียง 35 ล้านบาท ซึ่งการวางเงินมัดจำดังกล่าวได้มีเงื่อนไขในการคืนเงินประกันในกรณีที่ผลการศึกษาโครงการไม่เป็นที่น่าพอใจ โดยบริษัทไม่ประสงค์จะซื้อโครงการหลังจากการเข้าศึกษาข้อมูลโครงการแล้วอย่างชัดเจน และบริษัทเริ่มเข้าศึกษาโครงการตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2558 โดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งการเข้าศึกษาโครงการดังกล่าว ส่วนหนึ่งเป็นการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานของกิจการซึ่งต้องใช้เวลาเพื่อให้ได้ข้อมูลประกอบการพิจารณาความเป็นไปได้ในการซื้อโครงการ
การศึกษาโครงการดังกล่าวเป็นการศึกษาการดำเนินงานตามธุรกิจเดิมที่โครงการดำเนินการอยู่ โดยข้อมูลตามมติคณะกรรมการบริษัทในการพิจารณาการเข้าศึกษาโครงการดังกล่าวมีข้อมูลที่น่าสนใจ ได้แก่ โครงการตั้งอยู่บริเวณได้เคียงกับสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ข้อมูล ณ เวลานั้น มีผู้เช่า 90% ของจำนวนห้องพักทั้งหมด ข้อมูลการเข้าพักของผู้พักอาศัยที่แจ้งไว้ประมาณร้อยละ 90 ของจำนวนห้องพักเป็นจำนวนผู้เข้าพักระหว่างเดือนมกราคม–มิถุนายน ปี 2558 จากการเปิดเผยของเจ้าของโครงการ ซึ่งภายหลังจากการเข้าศึกษาโครงการได้มีการรายงานผลการศึกษาโครงการในรายงานการประชุมคณะกรรมการบริษัทวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2559 เพื่อชี้แจงผลการศึกษาโครงการดังกล่าว โดยจากการศึกษาและประเมินมูลค่าโครงการพบว่าราคาประเมินของโครงการต่ำกว่าราคาเสนอขายของเจ้าของโครงการ คณะกรรมการจึงพิจารณาให้ยกเลิกการซื้อโครงการดังกล่าว
บริษัทฯได้ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญโดยบริษัทประเมินมูลค่าทรัพย์สินในตลาดทุนและผู้ประเมินหลักที่ได้รับความเห็นชอบจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว เพื่อพิจารณามูลค่าทรัพย์สินประกอบกับราคาซื้อขาย เพื่อศึกษาโครงการทั้งสิ้น 3 บริษัท ได้แก่ 1.บริษัท พรสยามคอนซัลแทนท์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด 2. บริษัท กรุงสยามประเมินค่าทรัพย์สิน จำกัด 3.บริษัท นวมินทร์ แอพไพรซัล แอนด์ คอนซัลแตนท์ จำกัด
ในการประเมินมีการศึกษาข้อมูลของโครงการได้แก่ 1.ที่ตั้งทรัพย์สิน 2.รายละเอียดเกี่ยวกับที่ดิน 3.รายละเอียดอาคารและสิ่งปลูกสร้าง 4.วิเคราะห์ข้อดี ข้อด้อย ของทรัพย์สิน
การศึกษาข้อมูลดังกล่าวโดยบริษัทประเมินมูลค่าทรัพย์สินในตลาดทุนและผู้ประเมินหลักที่ได้รับความเห็นชอบจาก สำนักงาน ก.ล.ต.แล้ว เพื่อพิจารณามูลค่าทรัพย์สินประกอบกับราคาซื้อขาย จากผู้ประเมิน 3 ราย ผู้ประเมินได้พิจารณาใช้หลักเกณฑ์การประเมินมูลค่าทรัพย์สินตาม มาตรฐานวิชาชีพของสมาคมผู้ประเมินมูลค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย โดยการประเมินมูลค่าทรัพย์สินตามวัตถุประสงค์ที่อ้างถึงในครั้งนี้ ได้พิจารณาใช้หลักเกณฑ์การประเมินมูลค่าตลาด (Market Value)โดยใช้วิธีต้นทุน (Cost Approach) วิธีการเปรียบเทียบตลาด (Market Approach) และวิธีการประเมินจากรายได้ (Income Approach) ซึ่งการประเมินจากรายได้
บริษัทจำเป็นต้องใช้ข้อมูลภายในที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจการของเจ้าของโครงการเพื่อประกอบการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน ได้แก่ จำนวนห้องพัก ราคาที่ให้เช่า ประเภทการเช่า ค่าใช้จ่ายในการให้เช่า ค่าใช้จ่ายในการบริหารต่างๆ เป็นต้น ซึ่งการวางเงินประกันจำนวน 35 ล้านบาท ทางผู้จะขายเสนอว่า หากบริษัทมีความสนใจที่จะซื้อทรัพย์สินดังกล่าวจริง บริษัทควรวางเงินมัดจำจำนวนหนึ่งให้แก่ผู้จะขายก่อนการเข้าศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการบริหารจัดการทรัพย์สินตามที่เสนอ เพื่อยืนยันความประสงค์ที่จะซื้อทรัพย์สินหากผลการศึกษาเป็นที่พอใจต่อบริษัท ดังนั้นเพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ได้ตามเงื่อนไขของเจ้าของโครงการ บริษัทฯ จึงดำเนินการวางเงินประกันดังกล่าว
ขณะที่มีการวางเงินทางผู้จะขายมีการประกาศขายโครงการ และแจ้งว่ามีผู้สนใจหลายราย หากบริษัทฯ สนใจที่จะซื้อทรัพย์สินดังกล่าวจริง บริษัทฯ ควรมีการวางเงินมัดจำจานวนหนึ่งให้กับผู้จะขายก่อน ซึ่งในปัจจุบันเจ้าของเดิมยังคงถือกรรมสิทธิ์ในโครงการยังไม่ได้ขายให้แก่บุคคลอื่นแต่อย่างใด
ทั้งนี้ การลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ ข้างต้นในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น ถือเป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูลที่เชื่อโดยสุจริตว่าเพียงพอ และพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบร่วมกันในที่ประชุมของคณะกรรมการบริษัทในขณะนั้น ด้วยความสุจริตและสมเหตุสมผลว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัท และกระทำโดยไม่มีส่วนได้เสีย ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม