(เพิ่มเติม) ตลาด mai รับหุ้น AMA เข้าซื้อขายตั้งแต่ 22 ธ.ค.นี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 21, 2016 16:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บมจ.อาม่า มารีน (AMA) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในกลุ่มบริการ ในวันที่ 22 ธันวาคมนี้ โดย AMA ดำเนินธุรกิจด้านโลจิสติกส์ ให้บริการขนส่งสินค้าเหลวทั้งทางเรือและทางรถ โดยบริษัทให้บริการขนส่งทางเรือสำหรับผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มและน้ำมันพืชชนิดต่างๆ โดยมีเส้นทางให้บริการหลักอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคเอเชียตะวันออก และมีบริษัทย่อยให้บริการขนส่งทางรถบรรทุกในประเทศสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงและไบโอดีเซล B100

AMA มีทุนชำระแล้ว 215.8 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 323.6 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 108 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 8-9 และ 13-14 ธันวาคม 2559 ในราคาหุ้นละ 9.99 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,078.9 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 4,311.7 ล้านบาท มีบริษัท เซจแคปปิตอล จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

นายพิศาล รัชกิจประการ กรรมการผู้จัดการ AMA เปิดเผยว่า บริษัทมีประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจมากว่า 20 ปี โดยให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือกับบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มขนาดใหญ่ของโลกที่อยู่ในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ปัจจุบัน มีเรือบรรทุกน้ำมันและสารเคมีจำนวน 8 ลำ น้ำหนักบรรทุกรวมทั้งสิ้น 46,661 เมตริกตัน และมีรถบรรทุกน้ำมันจำนวน 95 คัน ปริมาณการบรรทุกรวมทั้งสิ้น 4.28 ล้านลิตร ซึ่ง AMA ถือเป็นบริษัทขนส่งทางเรือรายแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่รับขนส่งสินค้าเฉพาะของเหลว การนำบริษัทเข้าระดมทุนเพื่อนำเงินไปใช้ในการขยายกองเรือและกองรถบรรทุกน้ำมัน เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการขนส่งสินค้าเหลวทั้งในประเทศ และต่างประเทศ และลงทุนเพื่อขยายธุรกิจการให้บริการด้านโลจิสติกส์

AMA มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ กลุ่มนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ และญาติสนิท ถือหุ้น 39.49% บริษัท พีทีจี โลจิสติกส์ จำกัด ถือหุ้น 24.00% และกลุ่มนายพิศาล รัชกิจประการ และญาติสนิท ถือหุ้น 6.02% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) ที่ 31.29 เท่า คำนวณจากผลประกอบการในรอบ 12 เดือน (1 ตุลาคม 2558-30 กันยายน 2559) ซึ่งเท่ากับ 137.80 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.32 บาท

ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 25% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีและสำรองตามกฎหมายตามที่ได้กำหนดไว้ในข้อบังคับของบริษัทและกฎหมาย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ