บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2560 เห็นชอบการเข้าซื้อหุ้นของบริษัท สยามเซมเพอร์เมด จำกัด (SSC) ปัจจุบันเป็นกิจการร่วมค้าของบริษัท ซึ่งผลิตถุงมือยาง จำนวน 10,000 หุ้น หรือคิดเป็น 50% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ SSC จาก Semperit Technische Produkte Gesellschaft m.b.H. (Semperit) ซึ่ง Semperit มิใช่บุคคลที่เกี่ยวโยงกันของบริษัทฯ โดยมีมูลค่า 180.1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 6.57 พันล้านบาท ส่งผลให้ถือหุ้นใน SSC เพิ่มเป็น 90.2%
ขณะเดียวกัน บริษัทจะขายหุ้นทั้งหมดในบริษัทร่วม 5 แห่งให้กับ Semperit ด้วย รวมถึงจะมีการระงับข้อพิพาทระหว่างบริษัท กิจการร่วมค้า SSC และ Semperit โดยการซื้อขายหุ้นและดำเนินการต่างๆ คาดว่าจะเกิดขึ้นวันที่ 15 มี.ค.60 แต่ไม่เกินวันที่ 12 เม.ย.60 ซึ่งการดำเนินการครั้งนี้ บริษัทจะใช้เงินกู้จากสถาบันการเงินเพื่อเป็นแหล่งเงินสนับสนุนการซื้อหุ้น SSC ในวงเงินรวม 4.5 พันล้านบาท
STA แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการ อนุมัติการเข้าลงนามในสัญญากรอบของข้อตกลงต่าง ๆ (Umbrella Agreement) กับ Semperit สัญญาซื้อขายหุ้นใน SSC และสัญญาซื้อขายหุ้นในบริษัทร่วมต่าง ๆ ได้แก่ Semperflex Shanghai Ltd., Shanghai Semperit Rubber & Plastic Products Co., Ltd. Sempermed USA, Inc., Sempermed Singapore Pte Ltd. และบริษัท เซมเพอร์เฟล็กซ์ เอเชีย จำกัด (SAC) ทั้งนี้ สัญญาต่าง ๆ ได้กำหนดสิทธิและหน้าที่ระหว่างคู่สัญญาที่เกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ซึ่งรวมถึง
1.การซื้อหุ้นของ SSC โดยบริษัทเป็นผู้ซื้อ และ Semperit เป็นผู้ขาย ซึ่งหลังจากการซื้อขายหุ้น SSC เสร็จสิ้น บริษัท และบริษัท รับเบอร์แลนด์โปรดักส์ จำกัด (รับเบอร์แลนด์) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย จะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน SSC จากเดิม 40.2% เป็น 90.2%
2.การขายหุ้นและเงินลงทุน ซึ่งบริษัทและรับเบอร์แลนด์ ถืออยู่ทั้งหมดในบริษัทร่วมต่าง ๆ ได้แก่ Semperflex Shanghai Ltd. (SSH) , Shanghai Semperit Rubber & Plastic Products Co., Ltd. (SRP) , Sempermed USA, Inc. (SUSA) , Sempermed Singapore Pte Ltd. (SESI) และ SAC โดยบริษัทและรับเบอร์แลนด์ เป็นผู้ขาย และ Semperit เป็นผู้ซื้อ ซึ่งหลังจากการซื้อขายหุ้นและเงินลงทุนเสร็จสิ้น บริษัทและรับเบอร์แลนด์จะไม่ได้ถือหุ้นและเงินลงทุนในบริษัทร่วมต่าง ๆ อีกต่อไป
ขณะที่การขายหุ้นของ SAC เป็นการขายตามสัญญา Call Option ซึ่ง Semperit มีสิทธิใช้สิทธิในการซื้อหุ้นและชำระราคาค่าหุ้นภายในระยะเวลาใช้สิทธิที่กำหนด 3.การระงับข้อพิพาทระหว่างบริษัท บริษัทย่อย และกิจการร่วมค้าของบริษัท และ Semperit ที่มีอยู่ต่าง ๆ ในปัจจุบัน ทั้งที่อยู่ในกระบวนการศาลและกระบวนการอนุญาโตตุลาการ รวมถึงการตกลงชำระค่าตอบแทน โดย SSC ให้แก่ Semperit เพื่อการระงับข้อพิพาทต่าง ๆ ระหว่าง SSC และ Semperit
นอกจากนี้คณะกรรมการบริษัทอนุมัติเข้าลงนามในสัญญาให้สินเชื่อทางการเงิน กับสถาบันการเงิน เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสนับสนุนการเข้าซื้อหุ้น SSC ในวงเงินรวม 4.5 พันล้านบาท
ทั้งนี้ การเข้าซื้อหุ้น SSC มีมูลค่า 180.1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 6.57 พันล้านบาท ขณะที่การจำหน่ายหุ้น SSH จำนวน 50% มีมูลค่า 8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 292 ล้านบาท ,จำหน่ายหุ้น 10% ใน SRP มูลค่า 4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 146 ล้านบาท ,จำหน่ายหุ้น 25% ใน SUSA มูลค่า 6.5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 237.3 ล้านบาท ,จำหน่ายหุ้น 50% ใน SESI มูลค่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 36.5 ล้านบาท และจำหน่ายหุ้น 42.5% ใน SAC ตามสัญญา Call Option มูลค่า 51 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.86 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตามการเข้าทำรายการได้มา และจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อเงื่อนไขบังคับก่อนตามที่ระบุไว้ในสัญญากรอบของข้อตกลงต่าง ๆ ซึ่งบริษัทได้ลงนามเมื่อวานนี้ (18 ม.ค.) และสัญญาที่เกี่ยวข้องสำเร็จเสร็จสิ้นลง หรือมีการสละสิทธิเงื่อนไขบังคับก่อนใด ๆ ดังกล่าว โดยเบื้องต้นคาดว่าการซื้อขายหุ้นทั้งหมดจะเกิดขึ้นในวันที่ 15 มี.ค. แต่จะต้องไม่เกินวันที่ 12 เม.ย.
สำหรับ SSC ที่บริษัทเข้าซื้อหุ้นเพิ่มเติมนั้น เป็นกิจการร่วมค้าระหว่างบริษัท และ Semperit จัดตั้งขึ้นในไทย เมื่อปี 32 เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ถงมือยางคุณภาพสูงที่ใช้ในวงการแพทย์ และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากยางอื่น ๆ โดยบริษัท ซึ่งการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มจะทำให้บริษัทเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ส่งผลให้มีดุลพินิจแต่เพียงผู้เดียว และมีความคล่องตัวในการบริหารจัดการ SSC และจะมีศักยภาพในการขยายธุรกิจถุงมือยางในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์และนโยบายของบริษัท
นอกจากนี้หากดำเนินการซื้อหุ้น และจำหน่ายหุ้นทั้งหมดตามแผนดังกล่าว ก็จะทำให้ข้อพิพาทระหว่างบริษัท และ Semperit ต่าง ๆ ยุติลง อีกทั้งบริษัท และ SSC จะไม่ตกอยู่ภายใต้ข้อห้ามและข้อผูกพันต่าง ๆที่มีกับ Semperit อีกต่อไป