ธนาคารกรุงเทพ (BBL) และบริษัทย่อยรายงานกำไรสุทธิปี 59 จำนวน 31,815 ล้านบาท ลดลง 2,366 ล้านบาท หรือ 6.9% เมื่อเทียบกับปี 58 โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 63,998 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,488 ล้านบาท หรือ 11.3% และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 2.34% เป็นผลจากการบริหารต้นทุนเงินรับฝากให้ลดลง
สาเหตุที่กำไรปี 59 ลดลงจากปีก่อนหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวอย่างช้าๆ โดยคาดว่าในระยะต่อไปเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในทิศทางขยายตัวตามแรงส่งจากการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ แต่ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากภาวะเศรษฐกิจโลก ขณะที่การบริโภคและลงทุนภาคเอกชนในประเทศมีแนวโน้มเติบโตในระดับต่ำ ธนาคารจึงยังคงยึดหลักความระมัดระวังโดยการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญอย่างต่อเนื่องควบคู่กับการบริหารสินเชื่อด้อยคุณภาพให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม พร้อมทั้งรักษาเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่ดี สามารถรองรับการขยายธุรกิจในอนาคตเพื่อให้ธนาคารมีเสถียรภาพทางการเงินที่ยั่งยืน
ณ สิ้นเดือน ธ.ค.59 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 1,941,093 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72,190 ล้านบาทหรือ 3.9% จากสิ้นปี 58 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่และรายกลาง สินเชื่อลูกค้าบุคคลและสินเชื่อกิจการต่างประเทศ แม้ว่าเงินให้สินเชื่อเพิ่มขึ้น แต่ธนาคารยังคงรักษาอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ 89.1% ใกล้เคียงกับปีก่อน
สำหรับสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นเดือน ธ.ค.59 มีจำนวน 68,841 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.2% ของเงินให้สินเชื่อรวม ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจไทยที่ค่อยๆ ฟื้นตัวจึงส่งผลต่อภาคธุรกิจที่ต้องใช้เวลาในการปรับตัว ทั้งนี้ธนาคารยังคงติดตามดูแลคุณภาพสินเชื่ออย่างใกล้ชิดและตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญอย่างต่อเนื่องโดย ณ สิ้นเดือน ธ.ค.59 เงินสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของธนาคารยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 119,518 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6.2% ของเงินให้สินเชื่อและในปี 59 ค่าใช้จ่ายหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญมีจำนวน 15,728 ล้านบาท
ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 41,860 ล้านบาท ลดลง 3,359 ล้านบาท หรือ 7.4% ส่วนใหญ่มาจากกำไรจากการจำหน่ายสินทรัพย์และกำไรสุทธิจากเงินลงทุนลดลง ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้น 421 ล้านบาท ส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมจากบริการอิเล็กทรอนิกส์และการโอนเงิน บริการธุรกิจหลักทรัพย์ค่าธรรมเนียมจากการอำนวยสินเชื่อและบริการด้านหลักทรัพย์
และค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานมีจำนวน 50,505 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,460 ล้านบาทหรือ 12.1% รายการที่สำคัญ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายประมาณการหนี้สินสำหรับภาระผูกพัน และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานเพิ่มขึ้น
ด้านเงินกองทุน ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนอยู่ในระดับที่ดีสามารถรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต ซึ่งหากนับรวมกำไรสุทธิสำหรับงวด ก.ค.-ธ.ค.59 เข้าเป็นเงินกองทุน อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยจะอยู่ในระดับประมาณ 19.1% 17.2% และ 17.2% ตามลำดับ
ส่วนของเจ้าของ ณ วันที่ 31 ธ.ค.59 มีจำนวน 379,016 ล้านบาท คิดเป็น 12.9% ของสินทรัพย์รวมและมูลค่าตามบัญชีเท่ากับ 198.56 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 9.00 บาท จากสิ้นปี 2558