ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ระบุว่าด้วยสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตผนวกกับความแข็งแกร่งของ มิตซูบิชิ ไฟแนนเชียล ยูเอฟเจ กรุ๊ป (MUFG) ธนาคารตั้งเป้าการขยายตัวของสินเชื่อรวมที่ 6-8% สะท้อนความรอบคอบในการบริหารความเสี่ยง โดยมองแนวโน้มเศรษฐกิจปีนี้ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและครอบคลุมทุกภาคส่วน คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ 3.3% มีการลงทุนของภาครัฐเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ กอปรกับการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน ภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 59 ธนาคารมีกำไรสุทธิ 2.14 หมื่นล้านบาท เติบโต 14.9% จากปี 58 เป็นผลจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้นตามการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ ต้นทุนการเงินปรับตัวดีขึ้น จากการบริหารต้นทุนของธนาคาร ขณะเดียวกันรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากความสามารถในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งของผลกำไร
ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อรวม อยู่ที่ 1.45 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.2% จากสิ้นปี 58 สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ระดับ 8-9% เป็นผลมาจากสินเชื่อรายย่อยที่เพิ่มขึ้น 15.9% ตามความต้องการสินเชื่อรายย่อยที่ครอบคลุมทุกประเภท ในสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล และการรวมสินเชื่อจากกิจการ Hattha Kaksekar Limited (HKL) ในกัมพูชา ขณะที่สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งที่ 8% และ 6.5% ตามลำดับ
ด้านเงินรับฝาก มีจำนวนทั้งสิ้น 1.11 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9% จากสิ้นเดือน ธ.ค.58 การเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของเงินรับฝากประเภทออมทรัพย์ และเงินรับฝากจาก HKL ขณะที่รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้น 11.7% เทียบกับปี 58 โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ จากธุรกิจบริการบัตรและรายได้จากการเป็นตัวแทนจำหน่ายประกัน รวมถึงการเพิ่มขึ้นของรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยจากกำไรสุทธิจากธุรกรรมเพื่อการค้า และปริวรรตเงินตราต่างประเทศ กำไรจากเงินลงทุนและรายได้จากหนี้สูญรับคืน โดยในปี 59 ธนาคารมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 3.74%
ทั้งนี้ ธนาคารดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบระมัดระวัง รวมถึงพยายามแก้ไขสินเชื่อด้อยคุณภาพอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 59 มีการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพจำนวน 2.88 พันล้านบาท ส่งผลให้ ณ สิ้นธ.ค.59 มีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) อยู่ที่ 2.21% จากระดับ 2.24% ในปี 58 ขณะที่อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ อยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 143.3%
ขณะที่ธนาคารได้ตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญในไตรมาส 4/59 จำนวน 5.37 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 96 ล้านบาท หรือ 1.8% จากไตรมาส 3/59 จากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อในไตรมาส 4/59