LPN วางเป้ารายได้ต่ำกว่าปีก่อนพร้อมปรับกลยุทธเน้นโครงการกลาง-บน,เปิดธุรกิจรับบริหารโครงการดึงพันธมิตรร่วม

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday January 30, 2017 16:56 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) เปิดเผยว่า บริษัทได้จัดให้มีการแถลงข่าวผลการดำเนินงานปี 59 และแผนการดำเนินงานปี 60 ของบริษัทและบริษัทย่อยในวันนี้ โดยในปี 59 บริษัทมีประมาณการยอดขาย 8,500 ล้านบาท และประมาณการรายได้ 13,000 บาท (งบการเงินยังไม่ได้ผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชี) และในปี 60 บริษัทมีประมาณการยอดขาย 20,000 ล้านบาท และประมาณการรายได้ 10,000 ล้านบาท

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ LPN เปิดเผยว่า แผนการเปิดโครงการในปีนี้บริษัทจะเพิ่มการพัฒนาโครงการที่ตอบสนองต่อกลุ่มลูกค้ากลาง-บนมากขึ้น จากเดิมที่บริษัทเน้นการพัฒนาโครงการระดับกลาง-ล่า โดยมีแผนการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ทั่งหมด 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมทั้งหมด โดยมีโครงการที่เป็นกลุ่มระดับกลาง-บนจำนวน 7 โครงการ มูลค่าโครงการ 1.6 หมื่นล้านบาท

ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 2 โครงการ คือ โครงการลุมพินี สวีท เพชรบุรี-มักกะสัน มูลค่า 2.4 พันล้านบาท และโครงการลุมพีนี เพลส บางนา กม.3 มูลค่า 990 ล้านบาท ซึ่งการเปิดขายได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า ส่งผลให้มูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ของบริษัทล่าสุดเพิ่มขึ้นเป็น 3 พันล้านบาท จากสิ้นปี 59 อยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท

ส่วนรายได้ไนปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายไว้มี่ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นเป้าหมายรายได้ที่ลดลงจากปีก่อนราว 20% ซึ่งในปี 59 บริษัทคาดว่ามีรายได้อยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งรายได้ที่ลดลงในปี 60 ถือเป็นแนวโน้มรายได้ที่ลดลงเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันตั้งแต่ปี 58

นายโอภาส กล่าวว่า การที่แนวโน้มรายได้ของบริษัทลดลงเป็นเพราะการปรับกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทที่จะหันมาเน้นการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนมากขึ้น หลังจากแนวโน้มของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-ล่าง ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และมีหนี้สินภาคครัวเรือนอยู่ไนระดับสูงได้รับผลกระทบเรื่องความสามารถในการกู้ยืม ทำให้มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้นเป็น 30% ในปี 59 จากปี 58 ที่ 10% ซึ่งส่งผลกระทบในด้านรายได้ของบริษัท เพราะเกิดปัญหาการกู้สินเชื่อไม่ผ่านและการยกเลิกการจองเพิ่มขึ้น การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินงานในปีนี้จะเป็นการปรับเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าเป้าหมายไปสู่กลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บนมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงของการรับรู้รายได้ในอนาคต ประกอบกับ เน้นการระบายสต็อกพร้อมขายเพื่อให้กลับมาเป็นรายได้ของบริษัท ซึ่งได้ตั้งเป้าหมายยอดขายจากการระบายสต็อกพร้อมขายในปีนี้อยู่ที่ 7 พันล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายในปีนี้ 2 หมื่นล้านบาท ส่วนยอดขายอีก 1.3 หมื่นล้านบาท จะมาจากยอดขายการเปิดโครงการใหม่

"2-3 ปีที่ผ่านมามีปัญหาความเสี่ยงหนี้ครัวเรือนและภาวะเศรษฐกิจชะลอ เราก็เจอผมปัญหานี้ด้วยเพราะเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเราซึ่งเป็นลูกค้านะดับกลาง-ล่าง ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นก็กระทบรายได้และยอดขายของเรา เราจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ให้สอดคล้องกับภาวะ จากเดิมที่เรายืนยัดพัฒนาโครงการตอบโจทย์ลูกค้าระดับกลาง-ล่าง ซึ่งการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินงานใหม่ของเราจะต้องปรับเปลี่ยน Brand Image ให้สอดคล้องกับกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บนด้วย และหน้าที่ผมตอนนี้ก็ต้องเดินหน้า Clearance Stock ที่มีอยู่ให้สดลงเพื่อสร้างรายไดิให้กับบริษัทตามเป้าหมายรายได้ปีนี้ 1 หมื่นล้านบาท แม้ว่ารายได้จะลดลงแต่จะมีความยั่งยืนในอนาคต และยังให้กำไรที่ดี ส่วนอีกหน้าที่ของผมคือการสร้าง Backlog ใหม่ และทำให้มีรายได้กลับมาในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า"นายโอภาส กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทจะมีการเปิดตัว ผศ.พร วิรุฬห์รักษ์ ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บจก. ลุมพินี โปรเจค มาเนจเมนท์ เซอร์วิส (LPS) คนใหม่

ทั้งนั้ LPN แจ้งความคืบหน้าในเรื่องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจของ LPS ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในกลุ่มบริษัท LPN. โดยบริษัทได้พิจารณาปรับเปลี่ยนสัดส่วนการถือหุ้นใน LPS ลดลงเหลือในอัตรา 20% จากเดิมบริษัทถือหุ้น 99.93% และบริษัทได้พิจารณาปรับรูปแบบของการทาธุรกิจของ LPS จากเดิมดำเนินธุรกิจให้บริการด้านการบริหารโครงการ (Project Management Consultancy) และรับเฉพาะงานบริหารโครงการภายในกลุ่มบริษัท LPN ไปเป็น บริษัทที่ให้บริการด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development Service Provider) ให้กับโครงการทั้งที่พัฒนาโดยบริษัทและบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อื่น ซึ่งเป็นการปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ในปัจจุบันและช่วยให้เกิดคล่องตัวในการดำเนินงาน รวมทั้งเป็นการขยายธุรกิจให้กว้างขวางขึ้น ซึ่งจะเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับบริษัทเพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันมีการเจรจากับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่สนใจให้ LPS มาบริหารโครงการให้จำนวน 10 ราย

การปรับเปลี่ยนโครงสร้างในครั้งนี้ บริษัทมีแผนในการเจรจาทาบทามบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์บางแห่งและบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับ LPN รวมถึงอาจพิจารณาในเรื่องการเพิ่มทุนใน LPS ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการทาบทามและเจรจา ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการถือหุ้นอีกครั้ง

"ปัจจุบันมีการเจรจากับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่สนใจให้ LPS มาบริหารโครงการให้จำนวน 10 ราย อีกทั้งปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาการให้มีพันธมิตรที่เป็นผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างและผู้ประกอบการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายอื่นเข้ามาถือหุ้นใน LPS เพื่อการเป็นคู่ค้าที่ยั่งยืนต่อกัน ซึ่งกระบวนการจัดสรรสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยจะแบ่งกลุ่มผู้ถือหุ้นออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ LPN, LPN TEAM ซึ่งเป็นพันธมิตรจากบริษัทรับเหมาก่อสร้าง และบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นายอื่น จากเดิมที่ LPN ถือหุ้นใหญ่เพียงรายเดียว"นาโอภาส กล่าว

ในปีนี้บริษัทตั้งงบซื้อที่ดินในปีนี้ไว้ที่ 4 พันล้านบาท จากปีก่อนที่ใช้งบที่ดินไปเกือบ 3 พันล้านบาท โดยจะเป็นการใช้ซื้อที่ดินเพื่อนำไปพัฒนาโครงการในปีนี้ที่เหลืออีก 4 โครงการ และใช้ซื่อที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการไนปีถัดไป โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัทที่มีอยู่เพียงพอรองรับการลงทุน

ขณะเดียวกันบริษัทมีเป้าหมายที่จะลดอัตราการปฏิเสธสินเชื่อในปีนี้ให้เหลือ 0% จากสิ้นปีก่อนที่มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่ออยู่ที่ 30% โดยตั้งเป็น KPI ให้กับทีมขาย ซึ่งการลดอัตราการปฏิเสธสินเชื่อให้ลดลงเหลือ 0% บริษัทจะต้องมีการตรวจสอบลูกค้าที่เข้ามาแสดงความใจซื้อโครงการของบริษัทก่อนการทำสัญญาจองซื้อ โดยลูกค้าจะต้องแสดงความยินยอมให้บริษัทเช็คเครดิตบูโร ประกอบกับการเตรียมความพร้อมก่อนการยื่นเอกสารขอสินเชื่อต่อธนาคารพาณิชย์ ซึ่งการที่บริษัมเข้มงวดในเรื่องนี้มากขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงที่กระทบต่อยอดขายและรายได้ของบริษัท จากที่เกิดผลกระทบในช่วงปีที่ผ่านมา

ส่วนการระบายสต็อกพร้อมขายที่มีอยู่มูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท จำนวน 13,000 ยูนิต บริษัทจะเร่งระบายออกไปในครึ่งปีแรก ซึ่งจะสามารถทำยอดขายจากการระบายสต็อกใด้ในครึ่งปีแรกตรมเป้าหมายที่ตั้งไว้ 7 พันล้านบาท โดยบริษัทจะมีทั้งการให้ส่วนและโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นความสนใจในการซื้อของลูกค้าให้มากขึ้น และช่วยให้บริษัทมีรายได้กลับเข้ามา ขณะที่โครงการที่จะพัฒนาตั้งสต่ปีนี้เป็นต้นไป บริษัทจะเน้นโครงการที่มีระยะเวลาการก่อสร้างและส่งมอบไม่เกิน 1 ปี โดยจะเน้นไปที่โครงการที่มีจำนวนยูนิตไม่เกิน 500-600 ยูนิต/โครงการ โดยเป็นอาคารพักอาศัยสูง 8 ชั้น เพื่อการที่บริษัทจะสามารถรับรู้รายได้ได้เร็ว พร้อมตั้งรายได้ปี 61 อยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่ 1 หมื่นล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ