นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ LPN เปิดเผยว่า แผนการเปิดโครงการในปีนี้บริษัทจะเพิ่มการพัฒนาโครงการที่ตอบสนองต่อกลุ่มลูกค้ากลาง-บนมากขึ้น จากเดิมที่บริษัทเน้นการพัฒนาโครงการระดับกลาง-ล่า โดยมีแผนการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ทั่งหมด 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมทั้งหมด โดยมีโครงการที่เป็นกลุ่มระดับกลาง-บนจำนวน 7 โครงการ มูลค่าโครงการ 1.6 หมื่นล้านบาท
ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 2 โครงการ คือ โครงการลุมพินี สวีท เพชรบุรี-มักกะสัน มูลค่า 2.4 พันล้านบาท และโครงการลุมพีนี เพลส บางนา กม.3 มูลค่า 990 ล้านบาท ซึ่งการเปิดขายได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า ส่งผลให้มูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ของบริษัทล่าสุดเพิ่มขึ้นเป็น 3 พันล้านบาท จากสิ้นปี 59 อยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท
ส่วนรายได้ไนปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายไว้มี่ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นเป้าหมายรายได้ที่ลดลงจากปีก่อนราว 20% ซึ่งในปี 59 บริษัทคาดว่ามีรายได้อยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งรายได้ที่ลดลงในปี 60 ถือเป็นแนวโน้มรายได้ที่ลดลงเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันตั้งแต่ปี 58
นายโอภาส กล่าวว่า การที่แนวโน้มรายได้ของบริษัทลดลงเป็นเพราะการปรับกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทที่จะหันมาเน้นการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนมากขึ้น หลังจากแนวโน้มของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-ล่าง ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และมีหนี้สินภาคครัวเรือนอยู่ไนระดับสูงได้รับผลกระทบเรื่องความสามารถในการกู้ยืม ทำให้มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้นเป็น 30% ในปี 59 จากปี 58 ที่ 10% ซึ่งส่งผลกระทบในด้านรายได้ของบริษัท เพราะเกิดปัญหาการกู้สินเชื่อไม่ผ่านและการยกเลิกการจองเพิ่มขึ้น การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินงานในปีนี้จะเป็นการปรับเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าเป้าหมายไปสู่กลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บนมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงของการรับรู้รายได้ในอนาคต ประกอบกับ เน้นการระบายสต็อกพร้อมขายเพื่อให้กลับมาเป็นรายได้ของบริษัท ซึ่งได้ตั้งเป้าหมายยอดขายจากการระบายสต็อกพร้อมขายในปีนี้อยู่ที่ 7 พันล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายในปีนี้ 2 หมื่นล้านบาท ส่วนยอดขายอีก 1.3 หมื่นล้านบาท จะมาจากยอดขายการเปิดโครงการใหม่
"2-3 ปีที่ผ่านมามีปัญหาความเสี่ยงหนี้ครัวเรือนและภาวะเศรษฐกิจชะลอ เราก็เจอผมปัญหานี้ด้วยเพราะเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเราซึ่งเป็นลูกค้านะดับกลาง-ล่าง ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นก็กระทบรายได้และยอดขายของเรา เราจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าเป้าหมายใหม่ให้สอดคล้องกับภาวะ จากเดิมที่เรายืนยัดพัฒนาโครงการตอบโจทย์ลูกค้าระดับกลาง-ล่าง ซึ่งการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินงานใหม่ของเราจะต้องปรับเปลี่ยน Brand Image ให้สอดคล้องกับกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บนด้วย และหน้าที่ผมตอนนี้ก็ต้องเดินหน้า Clearance Stock ที่มีอยู่ให้สดลงเพื่อสร้างรายไดิให้กับบริษัทตามเป้าหมายรายได้ปีนี้ 1 หมื่นล้านบาท แม้ว่ารายได้จะลดลงแต่จะมีความยั่งยืนในอนาคต และยังให้กำไรที่ดี ส่วนอีกหน้าที่ของผมคือการสร้าง Backlog ใหม่ และทำให้มีรายได้กลับมาในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า"นายโอภาส กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทจะมีการเปิดตัว ผศ.พร วิรุฬห์รักษ์ ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บจก. ลุมพินี โปรเจค มาเนจเมนท์ เซอร์วิส (LPS) คนใหม่
ทั้งนั้ LPN แจ้งความคืบหน้าในเรื่องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจของ LPS ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในกลุ่มบริษัท LPN. โดยบริษัทได้พิจารณาปรับเปลี่ยนสัดส่วนการถือหุ้นใน LPS ลดลงเหลือในอัตรา 20% จากเดิมบริษัทถือหุ้น 99.93% และบริษัทได้พิจารณาปรับรูปแบบของการทาธุรกิจของ LPS จากเดิมดำเนินธุรกิจให้บริการด้านการบริหารโครงการ (Project Management Consultancy) และรับเฉพาะงานบริหารโครงการภายในกลุ่มบริษัท LPN ไปเป็น บริษัทที่ให้บริการด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Development Service Provider) ให้กับโครงการทั้งที่พัฒนาโดยบริษัทและบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อื่น ซึ่งเป็นการปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ในปัจจุบันและช่วยให้เกิดคล่องตัวในการดำเนินงาน รวมทั้งเป็นการขยายธุรกิจให้กว้างขวางขึ้น ซึ่งจะเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ให้กับบริษัทเพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันมีการเจรจากับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่สนใจให้ LPS มาบริหารโครงการให้จำนวน 10 ราย
การปรับเปลี่ยนโครงสร้างในครั้งนี้ บริษัทมีแผนในการเจรจาทาบทามบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์บางแห่งและบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับ LPN รวมถึงอาจพิจารณาในเรื่องการเพิ่มทุนใน LPS ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการทาบทามและเจรจา ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการถือหุ้นอีกครั้ง
"ปัจจุบันมีการเจรจากับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่สนใจให้ LPS มาบริหารโครงการให้จำนวน 10 ราย อีกทั้งปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาการให้มีพันธมิตรที่เป็นผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างและผู้ประกอบการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รายอื่นเข้ามาถือหุ้นใน LPS เพื่อการเป็นคู่ค้าที่ยั่งยืนต่อกัน ซึ่งกระบวนการจัดสรรสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยจะแบ่งกลุ่มผู้ถือหุ้นออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ LPN, LPN TEAM ซึ่งเป็นพันธมิตรจากบริษัทรับเหมาก่อสร้าง และบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นายอื่น จากเดิมที่ LPN ถือหุ้นใหญ่เพียงรายเดียว"นาโอภาส กล่าว
ในปีนี้บริษัทตั้งงบซื้อที่ดินในปีนี้ไว้ที่ 4 พันล้านบาท จากปีก่อนที่ใช้งบที่ดินไปเกือบ 3 พันล้านบาท โดยจะเป็นการใช้ซื้อที่ดินเพื่อนำไปพัฒนาโครงการในปีนี้ที่เหลืออีก 4 โครงการ และใช้ซื่อที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการไนปีถัดไป โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัทที่มีอยู่เพียงพอรองรับการลงทุน
ขณะเดียวกันบริษัทมีเป้าหมายที่จะลดอัตราการปฏิเสธสินเชื่อในปีนี้ให้เหลือ 0% จากสิ้นปีก่อนที่มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่ออยู่ที่ 30% โดยตั้งเป็น KPI ให้กับทีมขาย ซึ่งการลดอัตราการปฏิเสธสินเชื่อให้ลดลงเหลือ 0% บริษัทจะต้องมีการตรวจสอบลูกค้าที่เข้ามาแสดงความใจซื้อโครงการของบริษัทก่อนการทำสัญญาจองซื้อ โดยลูกค้าจะต้องแสดงความยินยอมให้บริษัทเช็คเครดิตบูโร ประกอบกับการเตรียมความพร้อมก่อนการยื่นเอกสารขอสินเชื่อต่อธนาคารพาณิชย์ ซึ่งการที่บริษัมเข้มงวดในเรื่องนี้มากขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงที่กระทบต่อยอดขายและรายได้ของบริษัท จากที่เกิดผลกระทบในช่วงปีที่ผ่านมา
ส่วนการระบายสต็อกพร้อมขายที่มีอยู่มูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท จำนวน 13,000 ยูนิต บริษัทจะเร่งระบายออกไปในครึ่งปีแรก ซึ่งจะสามารถทำยอดขายจากการระบายสต็อกใด้ในครึ่งปีแรกตรมเป้าหมายที่ตั้งไว้ 7 พันล้านบาท โดยบริษัทจะมีทั้งการให้ส่วนและโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นความสนใจในการซื้อของลูกค้าให้มากขึ้น และช่วยให้บริษัทมีรายได้กลับเข้ามา ขณะที่โครงการที่จะพัฒนาตั้งสต่ปีนี้เป็นต้นไป บริษัทจะเน้นโครงการที่มีระยะเวลาการก่อสร้างและส่งมอบไม่เกิน 1 ปี โดยจะเน้นไปที่โครงการที่มีจำนวนยูนิตไม่เกิน 500-600 ยูนิต/โครงการ โดยเป็นอาคารพักอาศัยสูง 8 ชั้น เพื่อการที่บริษัทจะสามารถรับรู้รายได้ได้เร็ว พร้อมตั้งรายได้ปี 61 อยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่ 1 หมื่นล้านบาท