บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) คาดว่าผลประกอบการของบริษัท จะปรับตัวดีขึ้นในปี 60 ซึ่งเป็นผลจากแรงหนุนของผลิตภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์พลอยได้อย่าง Butadiene ที่ราคาปรับตัวขั้นอย่างมีนัยสำคัญไปอยู่ที่ประมาณ 1,900 เหรียญสหรัฐ/ตัน และผลิตภัณฑ์ MEG ที่คาดว่าราคาเฉลี่ยจะปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ 888 เหรียญสหรัฐ/ตัน นอกจากนี้ในส่วนของการดำเนินงานของบริษัท คาดว่าการใช้กำลังการผลิตโดยรวมจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 59 โดยคาดว่าจะสามารถใช้กำลังการผลิตของโรงโอเลฟินส์อยู่ที่ 94% ถึงแม้ว่าบริษัทมีแผนจะหยุดซ่อมแซมโรงโอเลฟินส์ 2/1 ในช่วงกลางปีก็ตาม ในส่วนของโรงโพลีเอทิลีน คาดว่าจะสามารถใช้กำลังการผลิตที่ประมาณ 110% และโรง MEG คาดว่ากำลังการผลิตเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ 95%
โดยสถานการณ์ธุรกิจโอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องในปี 60 คาดว่าตลาดโพลิเมอร์ยังคงจะได้รับแรงกดดันจากกำลังการผลิตใหม่จากทางอเมริกาเหนือ ประกอบกับการส่งออกผลิตภัณฑ์โพลีเอทิลีนจากอิหร่านมีมากขึ้น และเศรษฐกิจจีนที่ยังคงเป็นปัจจัยที่ยังไม่แน่นอน ทำให้คาดว่าราคาเม็ดพลาสติกในปี 60 จะอยู่ในกรอบเดียวกับปี 59 ที่ประมาณ 1,153 เหรียญสหรัฐ/ตัน
ในส่วนของธุรกิจอะโรเมติกส์ในปี 60 คาดว่าส่วนต่าง (สเปรด) ผลิตภัณฑ์พาราไซลีน กับคอนเดนเสท จะสามารถทรงตัวได้อยู่ที่ระดับ 413 เหรียญสหรับ/ตันในปีนี้ ถึงแม้ว่าจะมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามาในตลาดค่อนข้างมากจากอินเดีย และประเทศแถบตะวันออกกลาง แต่เนื่องจากจะมีบางโรงงานหยุดผลิตตามแผนในบางช่วง ประกอบกับความต้องการของผลิตภัณฑ์โพลีเอสเตอร์ที่ปรับตัวดีขึ้น ทำให้ตลาดอยู่ในสภาพสมดุล ในส่วนของสเปรดราคาเบนซีน กับคอนเดนเสท จะปรับตัวดีขึ้นไปอยู่ที่ 353 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากความต้องการของผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องอย่างฟีนอล และ SM ที่ดีขึ้น ส่งผลให้บริษัทคาดว่าจะมี Market P2F อยู่ที่ 232 เหรียญสหรัฐ/ตัน ในส่วนของการผลิต บริษัทมีแผนที่จะหยุดผลิตตามแผนของโรงอะโรเมติกส์ 2 ประมาณ 45 วันในเดือนมิ.ย.-ก.ค. ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตทรงตัวอยู่ที่ 82% เท่ากับปีก่อน ที่บริษัทมีการหยุดผลิตของโรงกลั่น ส่งผลต่อการผลิตและขายของผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์
สำหรับแนวโน้มสถานการณ์ตลาดปิโตรเลียมในปี 60 คาดว่าส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซล กับน้ำมันดิบดูไบ จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยไปอยู่ที่ 11.5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เช่นเดียวกับส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซินกับน้ำมันดิบดูไบ คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 15.7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย ในส่วนของส่วนต่างราคาน้ำมันเตากับน้ำมันดิบดูไบ คาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่ -4.2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้บริษัทคาดว่าจะสามารถรักษาค่าการกลั่น (GRM) ได้ที่ประมาณ 5.9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทั้งนี้ ในส่วนของปริมาณการผลิตและการขาย คาดว่าจะสามารถเดินเครื่องโรงกลั่นได้เต็มที่ในอัตรา 100% เพิ่มขึ้นจากปี 59 ที่มีการหยุดผลิตตามแผน
ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบ คาดการณ์ว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีนี้มาอยู่ที่ 52-55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่มาจากภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะจีน และอินเดีย ประกอบกับการที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ยอมลดกำลังการผลิตรวมกันกว่า 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน คาดว่าจะส่งผลให้ตลาดน้ำมันเข้าสู่จุดสมดุลจนถึงขาดดุลภายในช่วงครึ่งปีแรกของปี 60 และส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นจากสภาวะขาดดุลดังกล่าว
PTTGC ระบุถึงความคืบหน้าของโครงการที่สำคัญของบริษัท โดยในส่วนของโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในสหรัฐฯนั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาเพื่อเข้าร่วมลงทุนกับพันธมิตร ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปด้านการลงทุนประมาณช่วงครึ่งปีหลังของปี 60 จากเดิมที่คาดว่าจะสรุปในช่วงไตรมาส 1/60
โครงการ PO/Polyols ซึ่งเป็นโครงการขยายธุรกิจขั้นปลายน้ำสู่กลุ่มอุตสาหกรรม Polyurethane ที่มีมูลค่าสูงนั้น โดยในโครงการ Propylene Oxide (PO) ได้ร่วมกับบริษัท Toyota Tsusho และโครงการ Polyols ได้ร่วมกับบริษัท Toyota Tsusho และ บริษัท Sanyo Chemical เพื่อศึกษาการลงทุน และคาดว่จะได้ข้อสรุปด้านการลงทุนช่วงกลางปี 60 และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 62
โครงการ Maptaput Retrofit – Olefins Reconfiguration (MTPR) ซึ่งเป็นโครงการ Olefins Reconfiguration เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบในการผลิตและเพิ่มกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ของกลุ่มธุรกิจโอเลฟินส์ ซึ่งโครงการนี้จะเพิ่มกำลังการผลิตโอเลฟินส์ 7.61 แสนตัน/ปี โดยใช้แนฟทาที่โรงกลั่นและโรงอะโรเมติกส์สามารถผลิตได้มาเป็นวัตถุดิบ ขณะนี้โครงการอยู่ระหว่างศึกษาและคาดว่าจะได้ข้อสรุปการลงทุนในไตรมาส 1/60 และเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 63
โครงการ Asset Injection (Ruammitr Project) ซึ่งเป็นโครงการรวมมิตร เป็นโครงการศึกษาการปรับโครงสร้างการถือหุ้นธุรกิจปิโตรเคมี สายโพรพิลีน สายเคมีภัณฑ์ชีวภาพ และธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องของบริษัท และกลุ่มปตท.เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ และสร้างโอกาสต่อยอดการดำเนินการธุรกิจเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคต ซึ่งการประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวานนี้ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทดำเนินโครงการดังกล่าวตามกรอบที่ได้อนุมัติ
โครงการ MAX คือโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานทั่วทั้งองค์กร โดยมีเป้าหมายยกระดับผลประกอบการให้ดีขึ้นในลักษณะต่อเนื่องทุกปี ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนเริ่มดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ ซึ่งในไตรมาส 4/59 ได้เริ่มรับรู้ผลกำไรจาก Project MAX เป็นจำนวนเงิน 246 ล้านบาท
โครงการโรงงาน MLLDPE เป็นโครงการเพื่อสร้างโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกชนิด LLDPE กำลังการผลิต 4 แสนตัน/ปี และโรงงานผลิตโคโมโนเมอร์ชนิด Hexene-1 กำลังผลิต 3.4 หมื่นตัน/ปี ซึ่งใช้ในการร่วมผลิตเม็ดพลาสติกชนิด LLDPE โครงการดังกล่าวจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์เอทิลีน ที่บริษัทมีอยู่โดยการต่อห่วงโซ่ผลิตภัณฑ์ให้ยาวขึ้น ขณะนี้โรงงานดังกล่าวอยู่ในระหว่างก่อสร้างมีความคืบหน้า 64% และใช้เงินลงทุนไปแล้ว 5.8 พันล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 61