บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) แจ้งว่าในปี 60 บริษัทมีแผนการลงทุน ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงโรงงาน จำนวน 11,539 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตโพลีโพรพิลีน (PP) จำนวน 4,146 ล้านบาท โครงการเพิ่มมูลค่าเพื่อผลิตภัณฑ์สะอาด (โครงการ UHV) จำนวน 1,716 ล้านบาท โครงการ EVEREST เพื่อเพิ่มขีดความสามารถองค์กรในทุกด้าน จำนวน 826 ล้านบาท โครงการอื่น ๆ 1,616 ล้านบาท โดยส่วนที่เหลือเป็นค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงโรงงานและงบลงทุนโครงการทั่วไป
ทั้งนี้ ในปีนี้บริษัทมีแผนซ่อมบำรุงใหญ่ในช่วงเดือนก.พ.-มี.ค. ที่จะส่งผลดีต่อกระบวนการผลิตของบริษัท อย่างไรก็ดีจากแผนการซ่อมบำรุงใหญ่ดังกล่าวทำให้กำลังการผลิตเฉลี่ยปีนี้ คาดว่าจะใกล้เคียงกับปี 59
โดยโครงการ UHV ได้เดินเครื่องจักรเพื่อดำเนินการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันหนักจากหอกลั่น (Residue Deep Catalytic Cracking: RDCC Plant) และได้ดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อก.ค.59 โดยมีการใช้อัตราการผลิต 90% ขณะที่ในช่วงไตรมาส 1/60 บริษัทได้หยุดซ่อมบำรุงใหญ่เพื่อตรวจสอบและปรับปรุงโรงงานทั้งหมด โดยในส่วนของโรง RDCC มีแผนปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อให้โรงงานมีความพร้อมเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ประกอบด้วย โครงการ Maximum Gasoline Mode for RDCC Project เพื่อให้โรงงานสามารถปรับเพิ่มสัดส่วนการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิง ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาด โดยคาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จภายในปี 60
นอกจากนี้ยังมีโครงการเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตของโรงกลั่น ให้สามารถเลือกใช้ชนิดของน้ำมันดิบสำหรับกระบวนการผลิตได้มากขึ้น โดยดำเนินการเพิ่มเติมอุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อน (Catalyst Cooler) ในหน่วยเพิ่มมูลค่าน้ำมันหนัก โดยใช้ตัวเร่งปฏิกริยา ซึ่งคาดว่าโครงการจะดำเนินการเดินเครื่องได้ในปี 61
โครงการขยายกำลังการผลิต PP อีก 3 แสนตัน/ปี คาดว่าจะดำเนินการผลิตได้ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ และโครงการ EVEREST ในปีที่ผ่านมาสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย และภาษี (EBIT) ให้บริษัทราว 2.3 พันล้านบาท คิดเป็น 68% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีสาเหตุจากโครงการ UHV ที่ล่าช้ากว่ากำหนด โดยภายหลังการปิดซ่อมบำรุงใหญ่แล้ว โครงการ EVEREST มีเป้าหมายสร้าง EBIT ในปีนี้ที่ประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนแนวโน้มธุรกิจในปีนี้ ในส่วนของธุรกิจปิโตรเลียม คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ในช่วง 45-55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนธุรกิจปิโตรเคมี มีแนวโน้มเติบโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ บริษัทคาดการณ์แนวโน้มส่วนต่าง (สเปรด) ราคาผลิตภัณฑ์กลุ่มปิโตรเลียมจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 59 เนื่องจากอุปทานส่วนเพิ่มลดลง ประกอบกับราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ในระดับต่ำ ช่วยกระตุ้นความต้องการใช้น้ำมัน ซึ่งคาดว่าค่าการกลั่นของตลาด (Market GRM) จะอยู่ในระดับประมาณ 4.3-5.3 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่แนวโน้มสเปรดราคาผลิตภัณฑ์กลุ่มปิโตรเคมีจะปรับตัวลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปี 59 เนื่องจากอุปทานที่เพิ่มขึ้น ทำให้คาดว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี (Market P2F) อยู่ในระดับประมาณ 4.5-6.0 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยไม่รวมผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการ UHV โครงการ PP และโครงการ EVEREST