TOP มีแผนลงทุน 175 ล้านเหรียญฯ ในปี 60 และ 166 ล้านเหรียญในปี 61

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday February 16, 2017 09:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ไทยออยล์ (TOP) รายงานสรุปแผนลงทุนโครงการในอนาคตของบริษัทและบริษัทในกลุ่มในช่วงปี 60-61 รวมวงเงิน 341 ล้านเหรียญสหรัฐ ไม่รวมค่าบำรุงรักษษประจำปัประมาณ 40 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี

ทั้งนี้ ในปี 60 จะมีการลงทุนในวงเงิน 175 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็น โครงการปรับปรุงหน่วยผลิตต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ ต่อเนื่อง และมีความยืดหยุ่น 45 ล้านเหรียญสหรัฐ โครงการผลิตสาร LAB 11 ล้านเหรียญสหรัฐ โครงการลงทุนด้านโลจิสติกส์และสาธารณูปโภค ได้แก่ โครงการขยายสถานีจ่ายน้ำมันทางรถ 22 ล้านเหรียญสหรัฐ โครงการขยายท่าเทียบเรือ 7 และ 8 วงเงิน 54 ล้านเหรียญสหรัฐ โครงการย้ายอาคารสำนักงานและสร้างถังน้ำมันดิบใหม่ 38 ล้านเหรียญสหรัฐ โครงการลงทุนอื่น ๆ 5 ล้านเหรียญสหรัฐ

และในปี 61 จะลงทุนราว 166 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็น โครงการปรับปรุงหน่วยผลิตต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ ต่อเนื่อง และมีความยืดหยุ่น 25 ล้านเหรียญสหรัฐ โครงการผลิตสาร LAB วงเงิน 13 ล้านเหรียญสหรัฐ โครงการขยายท่าเทียบเรือ 7 และ 8 วงเงิน 72 ล้านเหรียญสหรัฐ โครงการย้ายอาคารสำนักงานและสร้างถังน้ำมันดิบใหม่ 56 ล้านเหรียญสหรัฐ

TOP ยังรายงานแนวโน้มภาวะอุตสาหกรรมในปี 60 ว่า ตลาดน้ำมันดิบในช่วงครึ่งปีแรกของปีมีแนวโน้มทรงตัวจากแรงหนุนของการปรับลดกำลังการผลิตระหว่างผู้ผลิตกลุ่มโอเปกและนอกกลุ่มโอเปกปริมาณ 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน อย่างไรก็ตาม ตลาดน้ามันดิบยังเผชิญความเสี่ยงจากปริมาณการผลิตที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นของประเทศที่ได้รับการยกเว้นจากข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตอย่างลิเบียและไนจีเรียหลังสถานการณ์ความไม่สงบทั้งสองประเทศคลี่คลายลง รวมถึงผู้ผลิตน้ามันดิบจากชั้นหินดินดาน (Shale oil) ในสหรัฐฯ ที่จะกลับมาผลิตเพิ่มขึ้นหลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น

ราคาน้ำมันดิบได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ที่คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องราว 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน (อ้างอิง IEA, ม.ค.60) ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ ประกอบกับอุปทานที่มีแนวโน้มทรงตัวเนื่องจากปริมาณการผลิตที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะชดเชยปริมาณที่ปรับตัวลดลงจากข้อตกลงระหว่างผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปก อาจส่งผลให้ในปี 60 ตลาดน้ำมันดิบมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะสมดุล

ภาพรวมค่าการกลั่นในปี 60 มีแนวโน้มทรงตัวในระดับสูงจากปี 59 หลังอุปสงค์น้ามันสาเร็จรูปโดยเฉพาะน้ามันเบนซินและน้ามันดีเซลที่เติบโตขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและมีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่สูงกว่ากาลังการกลั่นใหม่สุทธิแม้ว่าในเอเชียจะมีโรงกลั่นน้ำมันเปิดดำเนินการหลายแห่งในจีน เวียดนาม และตะวันออกกลาง แต่ข้อกำหนดของรัฐบาลญี่ปุ่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันส่งผลให้คาดว่าโรงกลั่นในญี่ปุ่นจะมีการปิดดำเนินการหน่วยกลั่นราว 300,000 บาร์เรลต่อวัน

ด้านตลาดสารอะโรเมติกส์ในช่วงครึ่งแรกของปี 60 มีแนวโน้มทรงตัวจากปัจจัยหนุนของอุปสงค์ที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงไตรมาส 2 เนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนที่ความต้องการผลิตภัณฑ์สารปลายน้ำสูง ประกอบกับอุปทานที่ลดลงจากช่วงฤดูกาลปิดซ่อมบำรุงประจำปี อย่างไรก็ตาม ตลาดยังถูกกดดันจากอุปทานที่เข้ามาใหม่จากโรงผลิตสารอะโรเมติกส์ในอินเดีย ซึ่งมีกำลังการผลิตสารพาราไซลีน 1.45 ล้านตันต่อปี และสารเบนซีน 400,000 ตันต่อปี

ในปี 60 ตลาดสารพาราไซลีนจะทรงตัวเมื่อเทียบกับปี 59 จากประมาณการอุปทานสารพาราไซลีนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากโรงผลิตสารพาราไซลีนแห่งใหม่ในอินเดีย เวียดนาม และซาอุดิอาระเบีย รวมถึงการขยายกำลังการผลิตของโรงผลิตสารพาราไซลีนในเกาหลีใต้ อย่างไรก็ตาม ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากอุปสงค์ที่ปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศผู้บริโภคสารพาราไซลีนรายใหญ่ที่สุดของโลกยังคงนำเข้าสารพาราไซลีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ในขณะที่ตลาดสารเบนซีนในปี 60 มีแนวโน้มดี เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากความต้องการสารเบนซีนในประเทศจีนที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น เนื่องจากโรงผลิตภัณฑ์ปลายน้ำในจีนเริ่มดาเนินการผลิตใหม่ ประกอบกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้นำเข้าสารเบนซีนรายใหญ่จากภูมิภาคเอเชียยังคงมีความต้องการนำเข้าสารเบนซีนอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ตลาดยังถูกกดดันจากอุปทานสารเบนซีนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากโรงผลิตสารเบนซีนแห่งใหม่ในอินเดีย จีน เวียดนาม ซาอุดิอาระเบีย รวมถึงการขยายกำลังการผลิตในเกาหลีใต้

ตลาดน้ามันหล่อลื่นพื้นฐานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 60 มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นทั้งในไตรมาส 1 และ 2 จากแรงซื้อที่เข้ามาในตลาดก่อนเข้าช่วงเทศกาลตรุษจีนในปลายเดือนมกราคม รวมทั้งมีอุปทานที่ตึงตัวอย่างเห็นได้ชัดในภูมิภาคจากการปิดซ่อมบำรุงของโรงกลั่นน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานกรุ๊ป 1 ในไทย ซึ่งมีกำลังการผลิต 320,000 ตันต่อปี และโรงกลั่นน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานกรุ๊ป 2 ในเกาหลีใต้ ซึ่งมีกาลังการผลิต 1.15 ล้านตันต่อปี นอกจากนี้ คาดการณ์ว่าอุปสงค์จะฟื้นตัวอีกครั้งหลังเทศกาลตรุษจีนเสร็จสิ้นและดีต่อเนื่องจนถึงไตรมาส 2 ซึ่งอยู่ในฤดูกาลการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องภาคฤดูร้อนโดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรม

ในปี 60 คาดการณ์ว่าตลาดจะปรับตัวตามราคาน้ำมัน แม้ว่าตลาดน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานของโลกจะได้รับแรงกดดันจากอุปทานใหม่ราว 1.1 ล้านตันต่อปี แต่คาดว่าจะกดดันตลาดเอเชียไม่มากนักเนื่องจากอุปทานใหม่ไม่ได้เปิดดำเนินการภายในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ตลาดน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานกรุ๊ป 1 ยังคงถูกกดดันจากน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานกรุ๊ป 2 ที่มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น

ตลาดยางมะตอยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 60 คาดการณ์ว่าจะปรับตัวดีขึ้นทั้งในเชิงอุปสงค์เพื่อทำถนนในภูมิภาคเนื่องจากช่วงไตรมาส 2 ของปีเป็นฤดูร้อนที่เหมาะสมกับการก่อสร้างถนน รวมถึงประเทศไทยที่กำลังเร่งรัดโครงการสร้างถนนจากปี 59 ให้แล้วเสร็จภายในไตรมาส 1 ของปี 60 นอกจากนี้ ยังมีการตึงตัวของอุปทานในไทยหลังมีโรงกลั่นน้ำมันที่มีการควบโรงผลิตน้ำมันหล่อลื่นและยางมะตอยปิดซ่อมบำรุงในเดือน กุมภาพันธ์และมีนาคม

ในปี 60 คาดการณ์ว่าอุปสงค์จะฟื้นตัวจากปี 59 ทั้งในประเทศจีนและเวียดนามที่ก้าวเข้าสู่ปีที่สองของแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะสั้น รวมถึงประเทศอินโดนีเซียที่คาดว่าจะมีการซ่อมแซมถนนอย่างมากหลังประสบปัญหาน้ำท่วมอย่างหนักในปี 59 และประเทศไทยที่มีแผนการซ่อมแซมถนนมากกว่าในปี 59 ราว 2.9% ตามประกาศของสานักบารุงทาง กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม

ภาวะตลาดสาร LAB ในช่วงครึ่งแรกของปี 60 มีแนวโน้มอยู่ในระดับดี เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นช่วยสนับสนุนราคาสาร LAB ให้ปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งโรงผลิตสาร LAB บางแห่งในประเทศจีนจะทาการปิดซ่อมบำรุงในช่วงไตรมาส 2 ส่งผลให้อุปทานสาร LAB ตึงตัว นอกจากนี้คาดการณ์ว่าตลาดจะได้แรงหนุนจากการใช้ผลิตภัณท์ซักล้างมากขึ้นในฤดูร้อน แต่โดยรวมในปี 60 มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากอุปสงค์ที่อยู่ในระดับดีจากประมาณการภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงปริมาณประชากรที่ยังคงเติบโตอย่างเนื่อง ซึ่งจะสนับสนุนการใช้ผลิตภัณท์ซักล้างมากขึ้น โดยอุปสงค์สาร LAB ของเอเชียและตะวันออกกลางยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ไม่มีอุปทานใหม่เกิดขึ้นโดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ