บมจ.ไทยออยล์ (TOP) ชี้แจงผลการดำเนินงานปี 59 ว่า โรงกลั่นไทยออยล์ มีกำไรสุทธิ 21,222 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรสุทธิ 10.40 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 9,041 ล้านบาทจากปี 58 เนื่องจากกลุ่มไทยออยล์ยังคงรักษาอัตราการผลิตได้ในระดับสูง โดยโรงกลั่นไทยออยล์มีอัตราการใช้กำลังการกลั่นที่ 108% ธุรกิจอะโรเมติกส์และธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานมีอัตราการผลิตที่ 81%
ทั้งนี้ ในปี 59 กลุ่มไทยออยล์มีรายได้จากการขาย 274,739 ล้านบาท ลดลง 18,830 ล้านบาท จากราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยที่ปรับลดลงมาก อย่างไรก็ตาม กลุ่มไทยออยล์มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน 9.1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.9 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากบริษัท ไทยพาราไซลีน จำกัด (TPX) มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น อีกทั้งมีบริษัท ลาบิกซ์ จากัด (LABIX) ที่เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่เดือน ก.พ.59
ประกอบกับ กลุ่มไทยออยล์มีกลยุทธ์ในการเพิ่มผลกำไรอย่างต่อเนื่องตามโครงการ Profitability Improvement ซึ่งแบ่งเป็น 3 ด้านหลักๆ ได้แก่ การบริหารจัดการด้านการจัดหาวัตถุดิบและวางแผนพาณิชย์ (Supply and Marketing Management) การบริหารจัดการด้านการผลิต (Hydrocarbon Management) และการบริหารจัดการด้านค่าใช้จ่าย (Orchestra Project) นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปี ส่งผลให้ในปี 59 กลุ่มไทยออยล์มีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 6,138 ล้านบาท เปรียบเทียบกับผลขาดทุนจากสต๊อกน้ามัน 6,945 ล้านบาทในปี 58
ทั้งนี้ ยังมีการกลับรายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับจำนวน 1,041 ล้านบาท ซึ่งลดลง 297 ล้านบาท และมีผลขาดทุนจากอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยงสุทธิ 243 ล้านบาท เทียบกับกำไรจากอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยงสุทธิ 1,489 ล้านบาทในปี 58
อย่างไรก็ตาม กลุ่มไทยออยล์มี EBITDA 32,675 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,183 ล้านบาท ซึ่งรวมบริษัท ลาบิกซ์ จากัด (LABIX) และบริษัท ท็อป เอสพีพี จำกัด (TOP SPP) ที่เริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 1/59 และไตรมาส 2/59 ที่ผ่านมาตามลำดับ ขณะที่ มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 446 ล้านบาท