บมจ.ไทยยูเนี่ยน (TU) เปิดเผยเป้าหมายในปี 60 จากการคาดการณ์เบื้องต้นจะมียอดขาย 1.50 แสนล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้น 15-16% พร้อมตั้งงบลงทุน ประมาณ 4.8 พันล้านบาท ขณะที่สัดส่วนรายจ่าย SG&G ต่อยอดขาย 10% โดยมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ
ส่วนในปี 59 บริษัทรายงานยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 1.34 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.3% จากปี 58 (หรือ 3.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 2%) ซึ่งนับเป็นปีที่ 7 ติดต่อกันที่บริษัททำสถิติยอดขายเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์
กำไรขั้นต้น ปี 59 อยู่ที่ 19.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2% ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 14.8% เทียบกับ 15.6% ในปี 58 ราคาวัตถุดิบปลาแซลมอนที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับราคาปลาทูน่าที่สูงกว่าประมาณการณ์ ส่งผลต่ออัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวลดลง
อย่างไรก็ตาม การควบคุมต้นทุนต่างๆ อย่างเข้มงวด มีส่วนช่วยลดผลกระทบจากราคาวัตถุดิบที่สูง โดยอัตราค่าใช้จ่ายในการขาย ค่าใช้จ่ายทั่วไป และค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อการขายเท่ากับ 9.8% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จึงสามารถรักษาระดับกำไรสุทธิของบริษัทได้ โดยลดลงเพียง 0.9%จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 5,254 ล้านบาท
สำหรับปี 59 ยอดขายในสหรัฐอเมริกายังคงมีบทบาทสำคัญต่อรายได้ของบริษัท โดยมีสัดส่วน 39% ของยอดขายรวม ตลาดในประเทศไทยมีสัดส่วน 8% ในขณะที่ตลาดในยุโรปคิดเป็น 33% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้นจาก 29 %ในปี 58 ทั้งนี้ยอดขายในญี่ปุ่นคิดเป็น 6% ของยอดขายทั้งหมด
"ผลประกอบการในปี 59 ของไทยยูเนี่ยน แสดงให้เห็นว่าความต้องการในผลิตภัณฑ์ของเรายังคงอยู่ในระดับสูง ถึงแม้ว่าจะมีความท้าทายในเรื่องต้นทุนวัตถุดิบและความผันผวนทางเศรษฐกิจในหลายตลาดทั่วโลก แต่เราก็ยังคงรักษากำไรสุทธิให้อยู่ในระดับทรงตัว"นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU กล่าว
ไทยยูเนี่ยนประกาศเรื่องการจ่ายเงินปันผลที่ 0.31 บาทต่อหุ้น รวมเป็นการจ่ายเงินปันผลทั้งปีที่ 0.63 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลในระดับคงที่เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แม้ว่าบริษัทจะประสบกับสภาวะตลาดที่ท้าทายในปี 59
ยอดขายที่มาจากผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของไทยยูเนี่ยนในปี 59 ยังคงอยู่ที่ 42%โดยที่เหลือมาจากธุรกิจรับจ้างผลิต ยอดขายของผลิตภัณฑ์ของบริษัทในปี 59 เติบโตทั้ง 3 ธุรกิจหลัก โดยแยกเป็นยอดขายธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปเพิ่มขึ้น 3.2%จากปี 58 มาอยู่ที่ 61,043 ล้านบาท แยกเป็นยอดขายจากธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นเพิ่มขึ้น 11% จากปี 58 อยู่ที่ 55,832 ล้านบาท ส่วนยอดขายธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและสินค้ามูลค่าเพิ่ม ปรับเพิ่มขึ้น 8%จากปีก่อน อยู่ที่ 17,500 ล้านบาท
ยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นผลมาจากการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง การรวมยอดขายของ รูเก้น ฟิช ในประเทศเยอรมนี การรวมกิจการของ เชซ์ นูส์ (Chez Nous) ในประเทศแคนาดา และการส่งออกกุ้งของบริษัทที่ดีขึ้น ในเดือนตุลาคม ไทยยูเนี่ยนเข้าซื้อกิจการบริษัท เรด ล็อบสเตอร์ ซึ่งเป็นเครือภัตตาคารอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยเงินลงทุน 575 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือ 20.2 พันล้านบาท) และจากการลงทุนดังกล่าวส่งผลให้ กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นกว่า 7.7%ในไตรมาส 4/2559 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ในเดือนธันวาคม ไทยยูเนี่ยน ประกาศกลยุทธ์ที่มีความท้าทาย โดยตั้งเป้าหมายที่จะจัดหาวัตถุดิบปลาทูน่าภายใต้แบรนด์ของบริษัททั้งหมดด้วยวิธีการที่ยั่งยืน โดยมีพันธกิจที่จะทำให้ได้อย่างน้อย 75% ของเป้าหมายภายในปี 63 ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ปลาทูน่าใหม่ ไทยยูเนี่ยนกำลังลงทุน 90 ล้านเหรียญสหรัฐในโครงการเพื่อความยั่งยืนต่างๆ ซึ่งรวมถึงโครงการพัฒนาการประมงใหม่ 11 โครงการ (Fishery Improvement Project) ทั่วโลก และเพื่อให้สอดคล้องกับ SeaChange ซึ่งเป็นกลยุทธ์ความยั่งยืนของบริษัท ไทยยูเนี่ยน เชื่อว่าความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับถึงที่มาของแหล่งวัตถุดิบเป็นหัวใจสำคัญของความยั่งยืน และบริษัทได้พัฒนาโครงการความยั่งยืนมากมายเพื่อเพิ่มความโปร่งใสในระบบห่วงโซ่อุปทาน