บมจ.อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF) เผยวางเงินมัดจำ 50 ล้านบาท เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล ขนาด 7.5 เมกะวัตต์ (MW) ในจ.ลพบุรี ซึ่งเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าแล้ว ขณะที่โรงไฟฟ้าดังกล่าวเป็นของกลุ่ม บมจ.อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี คอร์ปอเรชั่น (IFEC) โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปการเข้าลงทุนไม่เกินไตรมาส 2/60 ซึ่งหากผลการศึกษาเป็นที่น่าพอใจ เงินมัดจำดังกล่าวจะเป็นส่วนหนึ่งของราคาซื้อขาย แต่หากไม่เป็นที่น่าพอใจ IFEC จะต้องคืนเงินมัดจำดังกล่าวภายในวันที่ 26 มี.ค.60
ECF ระบุว่าตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ขอให้ชี้แจงรายการเงินให้กู้ยืมระยะสั้นแก่กิจการอื่น จำนวน 50 ล้านบาท ตามที่ปรากฎในงบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ 31 ธ.ค.59 นั้น บริษัทขอชี้แจงว่าเมื่อช่วงเดือนธ.ค.59 บริษัทได้รับการเสนอขายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล ของบริษัท ทรู เอ็นเนอร์ยี่ เพาเวอร์ ลพบุรี จำกัด (TRUE) จึงได้เกิดความสนใจที่จะเข้าศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ โดยเบื้องต้นผู้บริหารได้พิจารณาถึงความสมเหตุสมผลของการเข้าลงทุนแล้ว และตัดสินใจเข้าศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการโดยละเอียด เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาตัดสินใจเข้าลงทุนต่อไปหรือไม่
ทั้งนี้ TRUE เป็นบริษัทย่อยของบริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เทอมอล พาวเวอร์ จำกัด (IFEC-T) ที่ถือหุ้นใน TRUE 99.99% ขณะที่ IFEC-T เป็นบริษัทที่ถือหุ้นโดย IFEC จำนวน 99.99% โดย TRUE และบริษัท ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อวางเงินมัดจำสำหรับการเข้าศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการจำนวน 50 ล้านบาท ในรูปแบบเงินมัดจำที่เรียกคืนได้ (refundable deposit) ซึ่งสามารถเรียกคืนได้หากการเข้าศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการไม่เป็นที่น่าพอใจที่จะเข้าลงทุน
แต่เนื่องจากขณะนั้นทาง IFEC ต้องการเงินจำนวน 50 ล้านบาท จึงขอให้บริษัทจัดทำสัญญาในรูปแบบเงินกู้ยืมระยะสั้นไม่เกิน 90 วันขึ้นมาระหว่าง IFEC และบริษัท คิดอัตราดอกเบี้ย 6.25% ต่อปี โดยเสนอหลักประกันคือหุ้นที่ IFEC ถืออยู่ใน IFEC-T จำนวน 5 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 8.3% มาจำนำ และให้ระบุไว้ในเงื่อนไขสัญญาว่าสามารถใช้แทนการวางเงินมัดจำตามสัญญาได้
ประกอบกับบริษัทเห็นว่าโดยปกติการวางเงินมัดจำในลักษณะดังกล่าวสำหรับการเข้าศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการอื่นทั่วไป ทางผู้สนใจจะซื้อจะไม่ได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยในระหว่างการวางเงินมัดจำและไม่มีหลักประกันแต่อย่างใด แต่ในกรณีนี้บริษัทจะได้รับอัตราดอกเบี้ยและได้รับหลักประกัน ประกอบกับสัญญาเงินกู้ยืมจะสามารถใช้ประโยชน์ได้ในทางกฎหมาย จึงมีความได้เปรียบหากเทียบกับกรณีการวางเงินมัดจำแบบทั่วไป
สำหรับความคืบหน้าในปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ และยังไม่ได้ข้อสรุป เนื่องจากอยู่ระหว่างการติดตามข้อมูลส่วนที่ยังขาดจาก TRUE โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการตรวจสอบฐานะกิจการ (Due Diligence) โดยว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญ 3 ด้าน ทั้งด้านบัญชีการเงิน เทคนิค และที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อประเมินความสมเหตุสมผลของการเข้าลงทุนเป็นเวลา 1.5 เดือนภายหลังได้รับเอกสารครบถ้วน ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปของการเข้าลงทุนไม่เกินไตรมาส 2/60
ทั้งนี้ หากผลการศึกษาเป็นที่น่าพอใจเงินจำนวน 50 ล้านบาท จะถือเป็นส่วนหนึ่งของราคาซื้อขาย แต่หากไม่เป็นที่น่าพอใจ ทาง IFEC จะคืนเงินจำนวน 50 ล้านบาทให้บริษัทภายในวันที่ 26 มี.ค.60 หรือภายในทันทีที่ทราบผลว่าการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการไม่เป็นที่น่าพอใจ โดยบริษัทได้ลงนามสัญญาเงินกู้ยืมดังกล่าวกับ IFEC เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.59
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหากได้ข้อสรุปว่าผลการเข้าศึกษาความเป็นไปได้ไม่เป็นที่น่าพอใจ ประกอบกับสถานะทางการเงินของ IFEC ตามข้อมูลล่าสุดในปัจจุบัน บริษัทอาจมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับชำระคืนหนี้ หรือเงินมัดจำที่เรียกคืนได้ แต่บริษัทยังมีหุ้นที่ IFEC ถืออยู่ใน IFEC-T จำนวน 8.3% มาจำนำเพื่อเป็นหลักประกัน ประกอบกับบริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ ซึ่งยังเป็นไปตามเงื่อนไขระยะเวลาที่กำหนดไว้ในบันทึกความเข้าใจเบื้องต้น (MOU)
สำหรับนโยบายการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญนั้น บริษัทจะพิจารณาจากภาระหนี้ที่ไม่สามารถเรียกเก็บได้ภายในระยะเวลา 1 ปี ประกอบกับสถานะทางการเงินของลูกหนี้ บริษัทจะพิจารณาตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเต็ม 100% ของมูลค่าหนี้ ทั้งนี้ หากภายหลังจากครบระยะเวลา 1 ปี ประกอบกับสถานะทางการเงินของลูกหนี้ในขณะนั้น หากบริษัทยังไม่สามารถเรียกชำระคืนหนี้จาก IFEC ได้ บริษัทอาจเข้าข่ายถูกพิจารณาตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 50 ล้านบาท ซึ่งจะมีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทในขณะนั้น
อนึ่ง โรงไฟฟ้าชีวมวลของ TRUE มีขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 7.5 เมกะวัตต์ มีสัญญาซื้อขายกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โดยเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) เมื่อวันที่ 3 พ.ย.54 และมีวันสิ้นสุดสัญญา 2 มิ.ย.71