ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) รับหลักทรัพย์ประเภทหุ้นสามัญ ของบมจ.ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ ใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ TPIPP เข้าซื้อขายใน SET ในกลุ่มทรัพยากร หมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค โดยวันที่รับเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน และเริ่มทำการซื้อขายในวันที่ 5 เม.ย.60 มีจำนวนหุ้นจดทะเบียนกับตลท. และหุ้นชำระแล้ว จำนวน 8,400 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 1 บาท ทุนชำระแล้ว 8,400 ล้านบาท ขณะที่มีจำนวนหุ้นที่เสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 2,500 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 7 บาท
TPIPP ประกอบธุรกิจด้านการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า โดยประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้ง และโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิง RDF ซึ่งโรงไฟฟ้าทั้งหมดตั้งอยู่ที่ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี และประกอบธุรกิจสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติ (NGV)
นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานกรรมการ TPIPP เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมนำหุ้นเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 5 เม.ย.นี้ เป็นวันแรก โดยใช้ชื่อย่อ ‘TPIPP’ ในการซื้อขาย หลังได้เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 2,500 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของ บมจ.ทีพีไอ โพลีน เฉพาะกลุ่มที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้น ประชาชนทั่วไปและนักลงทุนสถาบัน ในราคาหุ้นละ 7 บาท และได้รับความสนใจอย่างคึกคัก โดยบริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุน ไปใช้ลงทุนในโครงการต่างๆ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนรวมถึงชำระหนี้คงค้าง
ทั้งนี้ TPIPP เป็นผู้ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ (RDF) และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รวมถึงธุรกิจสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติ (NGV) ที่มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามแนวทาง ‘ขยะเป็นศูนย์’ หรือ Zero Waste เพื่อเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าโดยใช้พลังงานหมุนเวียนที่สะอาด และมีประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตไฟฟ้า รวมถึงคำนึงถึงหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
นายภากร เลี่ยวไพรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ TPIPP กล่าวว่า บริษัทฯ มีธุรกิจหลัก 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ ธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค ได้แก่ ธุรกิจโรงไฟฟ้าที่มุ่งเน้นโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ (RDF) และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้ง โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 มีโรงไฟฟ้าที่ COD แล้ว 4 โรง กำลังการผลิตติดตั้งรวม 150 เมกะวัตต์ (MW) ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ 2 โรง กำลังการผลิตติดตั้งโรงละ 20 MW และ 60 MW รวมเป็น 80 MW ปัจจุบันมีการไฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าจำนวน 73 MW และได้รับส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ที่ 3.50 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง เพิ่มเติมจากค่าไฟฟ้าพื้นฐานเป็นเวลา 7 ปีนับจากวันที่เริ่มซื้อขายไฟฟ้า และมีโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้งอีก 2 โรง กำลังการผลิตติดตั้งโรงละ 40 MW และ 30 MW รวมเป็น 70 MW โดยมี บมจ.ทีพีไอ โพลีน เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้า
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังมีสถานประกอบการผลิตเชื้อเพลิง RDF ที่นำขยะจากชุมชนและขยะจากหลุมฝังกลบในพื้นที่ต่างๆ มาผ่านกระบวนการคัดแยกและแปรรูปเป็นเชื้อเพลิง RDF เพื่อใช้ในกระบวนการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยปัจจุบันมีความสามารถรับขยะชุมชนเข้าสู่กระบวนการผลิต 4,000 ตันต่อวัน สามารถนำมาผลิตเป็นเชื้อเพลิง RDF ได้ 2,000 ตันต่อวัน
ส่วนธุรกิจหลักกลุ่มที่สองคือ ธุรกิจสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติ (NGV) ภายใต้เครื่องหมายการค้า ‘ทีพีไอพีแอล’ (TPIPL) รวม 12 แห่ง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีรายได้จากการขายอินทรียวัตถุที่เหลือใช้จากสถานประกอบการผลิตเชื้อเพลิง RDF ให้แก่บริษัท ทีพีไอ โพลีน ชีวะอินทรีย์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบผลิตปุ๋ยชีวภาพ โปรไบโอติกส์เพื่อการเลี้ยงสัตว์และการกำจัดสิ่งปฏิกูลในน้ำอีกด้วย
นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างก่อสร้างโรงไฟฟ้าอีก 3 โรง คาดจะเริ่ม COD ได้ภายในไตรมาส 4 ปีนี้ทั้งหมด ส่งผลให้มีกำลังการผลิตติดตั้งเพิ่มขึ้นอีก 290 MW รวมเป็น 440 MW ประกอบด้วย 1.โรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ 70 MW ซึ่งหลังก่อสร้างแล้วเสร็จจะนำกำลังการผลิตติดตั้งไปรวมกับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้ง 30 MW เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ 100 MW เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้ กฟผ. 2.โรงไฟฟ้าถ่านหิน 150 MW และ 3.โรงไฟฟ้าถ่านหินและพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ 70 MW ที่ออกแบบให้ผลิตไฟฟ้าสำรองป้อนให้แก่โรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ 60 MW หรือโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ 70 MW โรงใดโรงหนึ่ง ในกรณีที่เครื่องจักรชำรุด
อีกทั้ง บริษัทฯ อยู่ระหว่างขยายสถานประกอบการผลิตเชื้อเพลิง RDF ให้สามารถรับขยะชุมชนได้เพิ่มขึ้นเป็น 6,000 ตันต่อวัน จากเดิม 4,000 ตันต่อวัน ซึ่งจะนำมาผลิตเป็นเชื้อเพลิง RDF เพิ่มขึ้นเป็น 3,000 ตันต่อวัน จากเดิม 2,000 ตันต่อวัน นอกจากนี้ ยังมีแผนปรับปรุงโรงไฟฟ้าในปัจจุบัน ได้แก่ การปรับปรุงโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้งเพื่อเพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตไฟฟ้าและโครงการติดตั้งเครื่องคัดแยกขยะเบื้องต้นเพื่อใช้งานที่หลุมฝังกลบของบริษัทจัดการขยะ คาดว่าทั้ง 2 โครงการจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ปีนี้ รวมถึงมีโครงการลงทุนซื้อหม้อผลิตไอน้ำที่ใช้เชื้อเพลิง RDF อีก 2 เครื่อง เพื่อสำรองให้กับโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ 60 MW และ 70 MW คาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการได้ภายในไตรมาส 1 ปี 2561
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า ธุรกิจของ TPIPP มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี เนื่องจากอยู่ระหว่างขยายโรงไฟฟ้าอีก 3 โรง ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานในอนาคต ประกอบภาครัฐมีนโยบายให้การส่งเสริมธุรกิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ที่เป็นส่วนสำคัญในแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศและเป็นช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานซึ่งเป็นเป้าหมายของประเทศ รวมถึงยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศระหว่างปี 2557-2579 ที่คาดว่าจะเพิ่มในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 2.7 ต่อปี
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าของ TPIPP มีจุดเด่นและความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน โดยมีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการขยะ ตลอดจนสามารถพัฒนาเทคโนโลยีที่มีความเหมาะสมในการคัดแยกขยะในประเทศไทย และสามารถนำมาแปรรูปเป็นเชื้อเพลิง RDF ที่ให้ค่าความร้อนสูงซึ่งจะส่งผลดีต่อการนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในกระบวนการผลิตกระแสไฟฟ้า นอกจากนี้ TPIPP ยังได้รับประโยชน์จากการจัดหาความร้อนทิ้งในกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ และการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ บมจ.ทีพีไอ โพลีน ในฐานะบริษัทแม่อีกด้วย
นายสุชาย สุทัศน์ธรรมกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า TPIPP เป็นบริษัทฯ ที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดี เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจด้านโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะและโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้ง โดยปี 2559 TPIPP มีผลการดำเนินงานเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีกำไรสุทธิ 1,824.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 270% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 493.36 ล้านบาท และมีรายได้รวม 4,433.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58.62% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีรายได้รวม 2,794.83 ล้านบาท