บมจ.เอสทีพี แอนด์ ไอ (STPI) เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทฯ ได้ตกลงรับงานก่อสร้างจากคู่สัญญาซึ่งเป็นบริษัทแห่งหนึ่งในต่างประเทศในระหว่างปี 2547 โดยบริษัทได้เริ่มดำเนินงานก่อสร้างแล้วบางส่วน ต่อมาในไตรมาส 1/2548 บริษัทได้ตกลงกับคู่สัญญาในการคืนงานดังกล่าว และเรียกเก็บเงินค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับงานที่บริษัทได้ดำเนินการไปแล้ว แต่บริษัทยังไม่ได้รับชำระหนี้จากคู่สัญญา
ดังนั้น ในไตรมาส 2/2548 บริษัทได้ยื่นฟ้องคู่สัญญาเพื่อให้ชำระหนี้ค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นจำนวนเงินประมาณ 17 ล้านบาท (แก้ไขคำฟ้องและเพิ่มทุนทรัพย์ฟ้องเป็น 41 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2553) และในไตรมาส 3/2548 บริษัทคู่สัญญาได้ยื่นฟ้องบริษัทให้จ่ายชดเชยค่าเสียหายที่เกิดจากการคืนงานดังกล่าว คิดเป็นจำนวนรวมประมาณ 7 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ต่อมาในระหว่างเดือน ธ.ค.2554 ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้อ่านคำพิพากษาในชั้นต้นโดยตัดสินให้บริษัทชำระเงินค่าเสียหายจากการคืนงานดังกล่าวจำนวน 2 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ บวกด้วยดอกเบีย้ ร้อยละ 7.5 ต่อปี
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คดีในเดือน ก.ย.2555 เพื่อขอให้ศาลฎีกากลับคำพิพากษาของศาลชัน้ ต้นและให้ยกฟ้อง แต่ในขณะเดียวกันบริษัทคู่สัญญาก็ได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คดีให้บริษัทต้องชดใช้ค่าเสียหายเพิ่มเติมจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้นอีกประมาณ 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ บวกด้วยดอกเบีย้ ร้อยละ 7.5 ต่อปี ดังรายละเอียดที่ได้เปิดเผยในหมายเหตุประกอบงบการเงินและรายงานประจำปีของบริษัทฯ ตั้งแต่ปี 2548 มาแล้วนั้น
ศาลฎีกามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 พ.ค.2560 ให้บริษัทฯ ชำระเงินจำนวน 4,440,341.97 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.2548 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คิดเป็นดอกเบี้ย จำนวน 4,004,519.36 ดอลลาร์สหรัฐ รวมเป็นเงินจำนวน 8,444,861.33 ดอลลาร์สหรัฐ (หรือเทียบเท่าประมาณ 291.6 ล้านบาท โดยใช้อัตราขายถัวเฉลี่ยของธนาคารแห่งประเทศไทย ประจำวันที่ 23 พ.ค.2560 ที่ 34.5306 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ และคำนวณดอกเบี้ยถึงวันที่ 23 มิ.ย.2560) และค่าทนายความจำนวน 1,500,000 บาท ภายในวันที่ 23 มิ.ย.2560
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ตั้งสำรองค่าเผื่อหนีสิ้นที่อาจจะเกิดขึน้ จากคดีความดังกล่าวไว้แล้วจำนวน 180 ล้านบาท ดังนั้น บริษัทจะมีค่าเสียหายจากคดีความเพื่อบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายในไตรมาส 2/2560 เพิ่มเติมประมาณ 113 ล้านบาท