นายพีระพงศ์ จรูญเอก กรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติร่วมทุนบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด (NRED) โดยขายหุ้นบริษัทย่อย 4 บริษัทให้กับ NRED ซึ่งจะลงนามสัญญาร่วมทุนในวันที่ 30 ก.ค.60 คาดว่าจะสามารถเข้าทำรายการดังกล่าวได้ภายในเดือน ก.ย.60
รายการที่ 1 หุ้นสามัญภายหลังการเพิ่มทุนจดทะเบียนของออริจิ้น ไพร์ม 2 จำนวน 28,895,300 หุ้น (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท) เป็นอัตรา 49% ของหุ้นสามัญของออริจิ้น ไพร์ม 2 หรือคิดเป็นทุนจดทะเบียน จำนวน 288,953,000 บาท ให้แก่ NRED ในราคาทั้งสิ้น 400,540,000 บาท ซึ่ง NRED จะชำระราคาหุ้นสามัญดังกล่าวเป็นเงินสดทั้งจำนวน
ทั้งนี้ ออริจิ้น ไพร์ม 2 มีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนาจำนวน 1 โครงการ คือ โครงการ KnightsBridge Prime On Nut มูลค่าโครงการประมาณ 2,500 ล้านบาท ตั้งอยู่ถนนสุขุมวิท 77 อยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อขาย
รายการที่ 2 หุ้นสามัญภายหลังการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท ออริจิ้น รามคำแหง จำนวน 23,349,970 หุ้น (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท) เป็นอัตรา 49% ของหุ้นสามัญของออริจิ้น รามคาแหง หรือคิดเป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 233,499,700 บาท ให้แก่ NRED ในราคาทั้งสิ้น 311,390,000 บาท
ทั้งนี้ ออริจิ้น รามคาแหง มีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนาจานวน 1 โครงการ คือโครงการ KnightsBridge Collage Ramkhamhaeng มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท โครงการตั้งอยู่บนถนนรามคำแหง อยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อขาย
รายการที่ 3 หุ้นสามัญของบริษัท ออริจิ้น สเฟียร์ จำกัด จานวน 49,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ซึ่งเป็นอัตรา 49% ของหุ้นสามัญ หรือคิดเป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 490,000 บาท ให้แก่ NRED โดยมีราคาจำหน่ายหุ้นทั้งหมด จำนวน 32,810,000 บาท
ทั้งนี้ ออริจิ้น สเฟียร์ มีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนาจำนวน 1 โครงการ ชื่อโครงการ KnightsBridge Prime Ratchayothin มูลค่าโครงการประมาณ 1,600 ล้านบาท โครงการตั้งอยู่บนถนนพหลโยธิน ขณะนี้อยู่ระหว่างพัฒนาเพื่อขาย
รายการที่ 4 หุ้นสามัญของบริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท (บริษัทถือหุ้น 100% ของจำนวนหุ้นของออริจิ้น เวอร์ติเคิ้ล) ในจำนวน 49,000 หุ้น (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท) คิดเป็นอัตรา 49% ของหุ้นสามัญ หรือคิดเป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 490,000 บาท ทั้งนี้ บริษัทจะทำการจำหน่ายหุ้นดังกล่าวให้แก่ NRED ในราคาทั้งสิ้น 44,220,000 บาท
คณะกรรมการบริษัทมีความเห็นว่า การที่บริษัทได้ร่วมทุนกับ NRED ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่มีประวัติความสำเร็จและประสบการณ์ทางธุรกิจมาอย่างยาวนาน โดยมีส่วนแบ่งการตลาดในตลาดที่อยู่อาศัยสูงเป็นอันดับ 1 ใน 3 รวมทั้งมีแบรนด์อาคารชุดที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศญี่ปุ่น จะเป็นการเสริมศักยภาพในการแข่งขัน และ การขยายการพัฒนาโครงการและเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับบริษัทเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจในการเป็นผู้นำด้านธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว มั่นคง และยั่งยืน อีกทั้ง ยังช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่
และนอกจากการร่วมกันลงทุนพัฒนาโครงการอาคารชุดแล้ว ยังเป็นโอกาสที่ดีที่จะสานต่อความร่วมมือทางธุรกิจอื่นๆในอนาคต รวมทั้งการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างกัน และการร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ มาพัฒนาการดำเนินธุรกิจ และพัฒนาโครงการและการบริการของบริษัทให้สามารถสร้างความพึงพอใจอย่างสูงสุดให้แก่ลูกค้าต่อไป รวมถึงมีโอกาสในการขยายตลาดไปต่างประเทศในอนาคต ดังนั้น คณะกรรมการบริษัทจึงเห็นควรให้มีมติอนุมัติการร่วมทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด
สำหรับในอนาคตบริษัทยังมีโอกาสที่ดีในการร่วมลงทุนในการพัฒนาโครงการอาคารชุดและในธุรกิจอื่นๆ ต่อไป เช่น ธุรกิจพัฒนาและบริหารจัดการอาคารสำนักงาน โรงแรม และธุรกิจบริการด้านอสังหาริทรัพย์ รวมถึงได้รับประโยชน์จากการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างกันและการร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการบริหารจัดการธุรกิจ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การออกแบบและก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่างๆ รวมทั้งความร่วมมือด้านการขายและการตลาดกับกลุ่มลูกค้าญี่ปุ่น
ความร่วมมือต่างๆเหล่านี้จะสนับสนุนการดำเนินธุรกิจ การพัฒนาโครงการและการบริการของบริษัทให้สามารถสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงมีโอกาสในการขยายตลาดไปต่างประเทศในอนาคต และเพื่อให้บริษัทก้าวไปสู่การผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เช่นเดียวกับ NRED เช่น การก้าวขึ้นเป็นแบรนด์อาคารชุดอันดับ 1 เช่นเดียวกับ แบรนด์ “PROUD" ของ NRED ในประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งการเติบโตของธุรกิจประเภทอื่นๆ เช่น ธุรกิจพัฒนาและบริหารจัดการอาคารสำนักงาน โรงแรม อพาร์ทเม้นท์ พื้นที่ค้าปลีก คลังสินค้า และ ธุรกิจโลจิสติกส์