บมจ.ปตท. (PTT) อธิบายว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 (H1/2560) ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 77,485 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28,937 ล้านบาท หรือร้อยละ 59.6 จาก 48,548 ล้านบาท ในช่วงครึ่งแรกของปี 2559(H1/2559) เป็นผลจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกและราคาปิโตรเคมีที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ Market P2F และกำไรขั้นต้นจากการกลั่นไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน (Market GRM) เพิ่มขึ้น รวมถึงต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติที่ลดลงเนื่องจากอิงกับราคาน้ำมันเตาย้อนหลังและค่าเสื่อมราคา ค่าสูญสิ้นและค่าตัดจำหน่ายที่ลดลงตามการปรับปริมาณสำรองปิโตรเลียมเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผลการดำเนินงานดีขึ้นในเกือบทุกกลุ่มธุรกิจทั้งในส่วนธุรกิจที่ปตท. ดำเนินการเองโดยเฉพาะธุรกิจก๊าซธรรมชาติและบริษัทในกลุ่มปตท. ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นมากในส่วนของธุรกิจสำรวจและผลิตฯ และกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น
อีกทั้งงวดนี้ยังมีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้นจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น และมีกำไรจากการป้องกันความเสี่ยงของตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้น แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ที่เพิ่มขึ้นตามผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นก็ตาม
ส่วนในไตรมาส 2 ปี 2560 (Q2/2560) ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ จำนวน 31,317 ล้านบาท ลดลง 14,851 ล้านบาท หรือร้อยละ 32.2 จากไตรมาส 1 ปี2560 (Q1/2560) ที่มีกำไรสุทธิ จำนวน 46,168 ล้านบาท โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นทั้งสายโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์มีกำไรขั้นต้นต่อหน่วยของผลิตภัณฑ์ตามราคาตลาด (Market Product to Feed Margin : Market P2F) ลดลงจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง
ขณะที่กลุ่มการกลั่น ค่าการกลั่นทางบัญชี (Accounting GRM) ปรับลดลงเป็นผลจากขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน ธุรกิจสำรวจและผลิตฯ ลดลงจากรายได้ขายที่ลดลงตามปริมาณการขายที่ปรับลดลง และกลุ่มธุรกิจน้ำมันลดลง โดยหลักจากขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้นจากราคาขายที่ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก และปริมาณขายเฉลี่ยผลิตภัณฑ์ลดลง รวมถึงธุรกิจโรงแยกก๊าซฯที่ปรับลดลงตามราคาขายเฉลี่ยที่ลดลง
อีกทั้งในงวดนี้กลุ่มปตท. มีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลงจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในอัตราที่น้อยกว่าไตรมาสก่อน รวมทั้งมีขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงของตราสารอนุพันธ์จากที่กำไรใน Q1/2560