บมจ.อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทฯ พิจารณาและอนุมัติการออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ตามแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) จำนวนไม่เกิน 30,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ได้แก่ บลจ.วรรณ ราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนเท่ากับ 5.58 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่ารวมเท่ากับ 167,400,000 บาท
การเพิ่มทุนในครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทฯ มีโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่ง และเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้แก่บริษัทฯ ที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้และฐานะทางการเงินที่ดีขึ้นในอนาคต รวมทั้งยังเป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนที่จะใช้รองรับการด เนินงานของบริษัทฯ และแหล่งเงินทุนสำหรับการขยายธุรกิจ และ/หรือธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักของบริษัทฯ และ/หรือการลงทุนธุรกิจพลังงานต่าง ๆ กอปรกับการเพิ่มทุนดังกล่าวยังช่วยให้บริษัทฯ ไม่ต้องเพิ่มภาระหนี้สินจากการกู้ยืมเงิน และช่วยลดค่าใช้จ่ายทางการเงินของบริษัทฯ ได้
ทั้งนี้ บลจ.วรรณ จะใช้สิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนเฉพาะในส่วนที่บริษัทฯ ออกและจัดสรรเพื่อเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) เท่านั้น และกำหนดวันใช้สิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน เสนอขายและวันชำระเงินค่าจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บลจ.วรรณ ในวันที่ 25 ตุลาคม 2560
นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ ECF กล่าวว่า การที่บลจ.วรรณ เข้ามาลงทุนในหุ้น ECF เนื่องจากมีความมั่นใจในอนาคตของบริษัทฯ ซึ่ง ECF ได้มีการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ก่อนหน้านี้ ECF ออก PP จำนวนไม่เกิน 40 ล้านหุ้น ให้กับกองทุน Macquarie สถาบันการเงินสัญชาติออสเตรเลีย และในรอบนี้ได้ออกหุ้นเพิ่มทุนเสนอขาย PP ให้กับ บลจ.วรรณ เพิ่มอีกในจำนวน 30 ล้านหุ้น
"ทั้งบลจ.วรรณและกองทุน Macquarie เข้ามาลงทุนในหุ้น ECF เพราะเล็งเห็นอนาคตของ ECF และทีมงาน ทีมผู้บริหารที่มีความมุ่งมั่นในการทำธุรกิจ" นายอารักษ์ กล่าว
สำหรับความคืบหน้าการเข้าลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 220 เมกะวัตต์ ณ เมืองมินบู รัฐมาเกวย ประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ของบริษัท พลังงานเพื่อโลกสีเขียว จำกัด (GEP) พื้นที่โครงการสำหรับโรงไฟฟ้าเฟสแรกได้รับการจัดเตรียมความพร้อมเพื่อการดำเนินการก่อสร้างแล้ว และยังไม่พบปัญหาใดๆระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าการก่อสร้างเฟสแรกจะแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์สำหรับเฟสที่ 1 ได้ภายในช่วงกลางปี 2561 จากนั้นจะเดินหน้าลุยก่อสร้างเฟส 2 ต่อทันที
ทั้งนี้ บริษัท พลังงานเพื่อโลกสีเขียว (ประเทศไทย) จำกัด ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยปัจจุบัน GEP Thailand เป็นผู้ถือหุ้น 99.99% ใน GEP Myanmar Co,Ltd. ซึ่งเป็นผู้ได้รับสัมปทานในรูปแบบ Build Operate and Transfer (BOT) ในการพัฒนาและดำเนินโครงการฯ และเป็นผู้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement หรือ สัญญา PPA) กับ Electric Power Generation Enterprise (EPGE) ระยะเวลารวมทั้งสิ้น 30 ปี นับจากวันที่เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ของระยะที่ 1 กำลังการผลิตไฟฟ้า 220 เมกะวัตต์ แบ่งออกเป็น 4 เฟส ห่างกันทุก ๆ 1 ปี โดย 3 เฟสแรกมีขนาด 50 เมกะวัตต์ และเฟส 4 มีขนาด 70 เมกะวัตต์
สำหรับการเข้าลงทุน บริษัท อีซีเอฟ พาวเวอร์ จำกัด (ECF-Power) ในฐานะบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นอยู่ 99.99% เป็นผู้เข้าลงทุนซื้อหุ้นสามัญของ GEP ในสัดส่วน 20% ของโครงการโรงไฟฟ้า ซึ่งมั่นใจว่าการลงทุนดังกล่าวจะช่วยส่งเสริม และสร้างการเติบโตของรายได้ที่มั่นคงให้แก่บริษัทต่อไปในอนาคต ก่อให้เกิดผลกำไรและกระแสเงินสดกลับสู่บริษัท และในท้ายที่สุดจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท
อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้อีกหลายโครงการทั้งในและต่างประเทศ และเผยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล PWGE ที่นราธิวาส จำนวน 7.5 เมกะวัตต์ ที่ COD แล้วรายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้