บมจ.แสนสิริ (SIRI) แจ้งว่าเมื่อวานนี้ (7 พ.ย.) บริษัทได้เข้าลงทุนใหม่รวม 3 บริษัท ทั้งในสหรัฐอเมริกา และยุโรป ซึ่งทำธุรกิจโรงแรม ,ร้านอาหาร ,ธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า ตลอดจนธุรกิจสื่อ เพื่อรองรับการขยายงานในต่างประเทศ ได้แก่
1. การลงทุนใน Standard International, LLC (The Standard) ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกา มีมูลค่าการลงทุนในการเข้าซื้อหุ้นคิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 58 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 35.09 ของหุ้นทั้งหมด ซึ่งจะทะยอยลงทุนเป็นคราว ๆ จนเต็มมูลค่าการลงทุน ภายในระยะเวลา 5 ปี โดยกำหนดชำระเงินลงทุนคราวแรก เป็นจำนวน 16,294,586 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 541.46 ล้านบาท ภายในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2560 โดยบริษัทมีสิทธิในการแต่งตั้งกรรมการ 4 คน จากจำนวนกรรมการทั้งหมด 7 คน
ทั้งนี้ The Standard ประกอบธุรกิจหลัก รับบริหารกิจการโรงแรมในรูปแบบ management contract และ franchise ภายใต้แบรนด์ “The Standard" และ “Bunkhouse" ซึ่งปัจจุบันโรงแรมแบรนด์ The Standard มีสาขาอยู่ในสหรัฐอเมริกา รวม 5 แห่ง ตั้งอยู่ในเมืองหลัก เช่น นิวยอร์ค และ ลอสแอนเจลิส เป็นต้น ส่วนแบรนด์ Bunkhouse เป็นโรงแรมแบบ boutique hotels ซึ่งปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 7 แห่ง นอกจากนี้ Bunkhouse ยังมีกิจการร้านกาแฟ และพื้นที่ให้เช่าเชิงพาณิชย์อีก 2 แห่งด้วย
นอกจากนี้ยังประกอบธุรกิจรับบริหารกิจการร้านอาหาร ภายใต้แบรนด์ต่าง ๆ มากกว่า 10 แบรนด์ ซึ่งปัจจุบันมีร้านอาหารต่าง ๆ ตั้งอยู่ในเมืองลอสแอนเจลิส, นิวยอร์ค และไมอามี เป็นต้น ,ธุรกิจด้านการจองห้องพัก The Standard Hotel และ boutique hotels อื่น ๆ โดยใช้แอปพลิเคชันที่ชื่อว่า “One night stand" ซึ่งครอบคลุมใน 9 เมืองสำคัญของประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ แอปพลิเคชัน่ ดังกล่าวเป็นช่องทางสำหรับการใช้บริการและเสนอราคาพักที่ดีที่สุดอีกช่องทางหนึ่ง
สำหรับประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับนั้น คาดว่าจะได้รับทักษะ-ความรู้-ความชำนาญ (Know-how) ของการบริหารโรงแรมในระดับสากลที่ได้รับการยอมรับ ซึ่ง The Standard Hotel เป็นหนึ่งในโรงแรมที่มีชื่อเสียงด้าน Life-Style Hotel และได้รับโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจร่วมกับ The Standard Hotel ในอนาคต ซึ่งโรงแรมจะมีการขยายธุรกิจมาสู่ที่พักอาศัย ภายใต้ชื่อ The Standard Residence และได้รับโอกาสในการประชาสัมพันธ์แบรนด์ของกลุ่มแสนสิริ ไปสู่ต่างประเทศ
2.การเข้าลงทุนใน Flying Jamon Ltd (Hostmaker) โดยการเข้าซื้อหุ้นบุริมสิทธิของ Flying Jamon Ltd (Hostmaker) ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายของประเทศอังกฤษและเวลส์ ในสัดส่วนประมาณร้อยละ 11.20 ของหุ้นทั้งหมด โดยกำหนดชำระเงิน เป็นจำนวน 5 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 219.75 ล้านบาท ภายในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2560 โดยชำระเป็นเงินสดจากเงินทุนหมุนเวียน
สำหรับ Flying Jamon Ltd ประกอบธุรกิจรับบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเช่า ภายใต้แบรนด์ Hostmaker โดยเสนอบริการแบบครบวงจรให้แก่ลูกค้า ตั้งแต่การออกแบบห้อง จัดแต่งห้องพักให้สวยงาม โดยทีมงานที่มีประสบการณ์ของ Hostmaker รวมไปถึงการบริหาร Profile อสังหาริมทรัพย์ของลูกค้าเพื่อดึงดูดผู้เข้าพักให้มีอัตราการเข้าพักและการจองให้มากที่สุด ตลอดจนจัดหาลูกค้าที่มีคุณสมบัติเหมาะสม และให้บริการแบบโรงแรมในระดับ 5 ดาวแก่ลูกค้าทุกราย รวมทัง้ บริการบำรุงรักษาและทำความสะอาดห้องพัก ซึ่งปัจจุบัน Hostmaker ดำเนินธุรกิจอยู่ใน 4 เมือง ได้แก่ ลอนดอน ปารีส โรม และ บาร์เซโลน่า
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับนั้น บริษัทได้รับทักษะ-ความรู้-ความชำนาญ (Know-how) ของการบริหารและบริการที่พักอาศัย ซึ่งตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างครบวงจร และส่งผลต่อธุรกิจโดยอาศัยเทคโนโลยีและช่องทางการสื่อสารที่เปลี่ยนแปลงไป (Disrupt) เพื่อเข้าถึงตลาดคนรุ่นใหม่ได้อย่างกว้างขวาง
3.การเข้าลงทุนใน Winkontent AG (Monocle) โดยเข้าซื้อหุ้นสามัญของ Winkontent AG (Monocle) ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในสัดส่วนประมาณร้อยละ 13.04 ของหุ้นทั้งหมด โดยกำหนดชำระเงินเป็นจำนวน5,908,694.12 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 195.87 ล้านบาท ภายในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2560 โดยชำระเป็นเงินสดจากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
สำหรับ Winkontent AG ประกอบธุรกิจหลักด้านสื่อ (Media) ได้แก่ นิตยสาร ชื่อ “Monocle" นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น วิทยุ 24 ชัว่ โมง, E-commerce,ร้านขายสินค้าแฟชัน่ และการจัดงาน event ต่าง ๆ เป็นต้น โดยปัจจุบัน Monocle ได้ดำเนินการอยู่ในประเทศใหญ่ ๆ เช่น England (สำนักงานใหญ่), USA, Canada, Japan, Singapore และ Hong Kong
ประโยชน์ที่คาดว่าบริษัทจะได้รับ ได้แก่ การได้รับโอกาสในการประชาสัมพันธ์แบรนด์ของกลุ่มแสนสิริ ไปสู่ต่างประเทศ , โอกาสที่จะได้ร่วมพัฒนาในด้านต่างๆ ระหว่าง กลุ่มแสนสิริ กับ Monocle เช่น การตลาด เป็นต้น และร่วมกันพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยโดยใช้แบรนด์ Monocle