ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ขึ้นเครื่องหมาย SP ห้ามซื้อขายหุ้น บมจ.จี สตีล (GSTEL) เป็นการชั่ว คราวในการซื้อขายวันนี้ (15 พฤศจิกายน 2560) ตามที่บริษัทฯร้องขอ และตลท.จะปลดเครื่องหมาย SP เพื่ออนุญาตให้ซื้อขายหลัก ทรัพย์ของ GSTEL ในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2560 และขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลงบการเงิน และคำชี้แจงของบริษัทฯอย่างระมัดระวัง ก่อนการตัดสินใจลงทุนในหุ้น GSTEL
ขณะที่เมื่อวานนี้ (14 พฤศจิกายน 2560) GSTEL ได้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ ต่อศาลล้มละลายกลาง เนื่อง จากมีภาระหนี้สินล้นและไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ที่มีการทวงถาม และมีความเสี่ยงที่จะถูกฟ้องล้มละลายหรือถูกยึดทรัพย์ ซึ่ง อาจจะทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้ถือหุ้น จึงได้ขอให้ตลท.ขึ้นเครื่องหมาย SP ชั่วคราวในวันนี้เพื่อให้ผู้ลงทุนรับทราบและรับรู้ข้อมูล การยื่นคำขอฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯอย่างเท่าเทียมกัน
ทั้งนี้ เมื่อต้นปี 2559 บริษัทฯ ได้รับการติดต่อจาก Asia Credit Opportunities I (Mauritius) Limited (ACO I) ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ SSG Capital Holdings Limited (SSG CH), SSG Capital Partners III, L.P. (SSG III) และ Kendrick Global Limited (KG) (รวมเรียกว่า กลุ่ม SSG) ที่แสดงความจำนง ในการให้ความช่วยเหลือในการปรับโครงสร้างหนี้กับบริษัทฯอย่างจริงจังและได้เริ่มกระบวนการตรวจสอบพิเศษ (Due Diligence) ในด้านกฎหมาย ด้านบัญชี และด้านการเงิน ในธุรกิจของบริษัท
กลุ่ม SSG พบว่าผลการสอบทานข้อมูลดังกล่าวเป็นที่น่าพอใจและเชื่อมั่นว่าสามารถเข้ามาและปรับปรุงธุรกิจของบริษัทฯ ได้ ทางกลุ่ม SSG จึงเริ่มดำเนินการเจรจากับเจ้าหนี้การค้าต่างประเทศรายใหญ่จำนวน 7 ราย (ซึ่งรวมถึง Cargill International Trading Pte. Ltd. (Cargill) ด้วย) และได้เข้าซื้อหนี้จากเจ้าหนี้ดังกล่าวรวมจำนวนหนี้ทั้งหมด 226,331,648 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 7,810,529,136.75 บาท (แบ่งเป็นเงินต้นจำนวน 127,885,456 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 4,413,227,620.09 บาท และเป็นดอกเบี้ยจำนวน 98,446,192 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 3,397,301,516.66 บาท) (หนี้การค้า)
ภายหลังจากการเข้าซื้อหนี้แล้ว กลุ่ม SSG ได้นำเสนอแผนการในการปรับโครงสร้างหนี้การค้าของบริษัทฯ โดยหนึ่งใน แผนการปรับโครงสร้างหนี้การค้าของบริษัทฯ คือ การจัดสรรและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯตามโครงการแปลงหนี้เป็นทุน ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ ลดหนี้การค้าสุทธิจำนวน 123,899,729 ดอลลาร์สหรัฐหรือคิดเป็น 4,275,683,281.33 บาท รวมทั้งการยก เลิกดอกเบี้ยคงค้าง (Haircut) สำหรับหนี้ทางการค้าที่ค้างชำระจำนวน 100,839,458 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 3,479,891,264.89 บาท
อย่างไรก็ดี จากการที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2560 มีมติไม่อนุมัติการปรับโครง สร้างหนี้ของบริษัทฯตามแผนการปรับโครงสร้างหนี้และการจัดสรรและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ ตามโครงการแปลงหนี้เป็น ทุนตามที่ได้มีการตกลงกับกลุ่ม SSG กลุ่ม SSG ได้ติดตามและสอบถามโดยตลอดถึงแนวทางในการดำเนินการของบริษัทฯ ว่าจะมีข้อ เสนอในการชำระหนี้การค้าข้างต้นให้แก่กลุ่ม SSG ได้อย่างไร และต่อมาเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2560 ACO I ได้ส่งหนังสือทวงถาม และขอให้บริษัทฯ ชำระหนี้ดังกล่าว และแจ้งว่าหากบริษัทฯ ไม่สามารถมีข้อเสนอชำระหนี้ที่เป็นที่ยอมรับได้ของ ACO I แล้ว ทาง ACO I จะดำเนินการทางกฎหมายตามความจำเป็นและสมควร รวมถึงการบังคับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาด้วย
ต่อมาวันที่ 5 พฤศจิกายน 2560 ACO I ได้ส่งหนังสือทวงถามฉบับที่ 2 ขอให้ทางบริษัทฯ ขอให้ชำระหนี้ทั้งจำนวนภาย ในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 ภายในเวลา 17.00 น. มิเช่นนั้น ACO I จะดำเนินการตามกฎหมายทันที
นอกจากหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้จาก ACO I แล้ว บริษัทฯ ยังได้รับหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้จากเจ้าหนี้อีกจำนวน 2 ราย คือ หนังสือแจ้งให้ชำระหนี้ค่าไฟฟ้า พร้อมเบี้ยค่าปรับตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า เป็นเงินจำนวน 158,238,694.62 บาท ลงวัน ที่ 9 ตุลาคม 2560 โดยบริษัทฯ ค้างชำระค่าไฟฟ้าดังกล่าวมาตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2560 และหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้ค่า ไฟฟ้า ลงวันที่ 5 ตุลาคม 2560 จำนวน 982,011,306.39 บาท โดยบริษัทฯ ค้างชำระค่าไฟฟ้าดังกล่าวมาตั้งแต่ธันวาคม 2554
ทั้งนี้ ตามงบการการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท ณ วันที่ 30 กันยายน 2560 บริษัทมีหนี้สินรวมทั้งหมด 17,622 ล้าน บาท โดยแบ่งเป็นหนี้กลุ่มใหญ่ๆ 3 กลุ่ม ดังนี้ 1.หนี้สินหมุนเวียน จำนวน 4,047 ล้านบาท เช่น เจ้าหนี้การค้า 1,384 ล้านบาท เงินกู้ยืมระยะสั้นจากกิจการที่เกี่ยวข้องกัน 1,151 ล้านบาท 2. หนี้สินที่ผิดนัดชำระหนี้ 11,949 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้สินหมุนเวียนทั้ง จำนวน และ 3.หนี้สินไม่หมุนเวียน จำนวน 1,626 ล้านบาท ซึ่งจะเห็นได้ว่า บริษัทมีหนี้สินที่ผิดนัดชำระจำนวนมาก
ในการนี้ บริษัทฯได้พยายามหาแหล่งเงินทุนเพื่อนำมาชำระหนี้ดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น การแปลงหนี้เป็นทุนตามที่ได้มีการ นำเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2560 ซึ่งที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นได้มีมติไม่อนุมัติการ ดำเนินการตามโครงการการแปลงหนี้เป็นทุน ซึ่งส่งผลให้บริษัทฯ ไม่สามารถชำระหนี้ จำนวน 226,331,648 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิด เป็น 7,810,529,136.75 บาท ตามแผนการที่วางไว้
การหานักลงทุนรายใหม่เข้ามาช่วยแก้ไขฐานะทางการเงินของบริษัทฯ ซึ่งในเรื่องนี้ บริษัทฯ ได้ใช้ความพยายามหานัก ลงทุนรายใหม่ ภายหลังจากที่ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นได้มีมติไม่อนุมัติการดำเนินการตามโครงการการแปลงหนี้เป็นทุน แต่เนื่องจาก จำนวนหนี้ของบริษัทฯมีจำนวนที่สูงมาก ประกอบกับความเสี่ยงที่อาจจะไม่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นอีก จึงทำให้ไม่มีนักลงทุนราย ใดให้ความสนใจ
การหาแหล่งเงินทุนอื่นๆ เช่น การกู้ยืมเงินจากสถาบัน เนื่องจาก บริษัทฯยังมีผลประกอบการขาดทุนจากการดำเนิน ธุรกิจปกติ (ไม่รวมกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้และรายได้อื่น) มาโดยตลอด และมีกระแสเงินสดจากการดำเนินกิจการในงวดใน ระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับหนี้สินรวม อีกทั้งยังมีความเสี่ยงจากการถูกฟ้องร้องจากบรรดาเจ้าหนี้อื่นๆ เช่น ACO I จึงเป็นข้อจำกัด สำหรับบริษัทฯ ในการจัดหาแหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินเพื่อใช้ในการดำเนินกิจการ
ปัจจุบันเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทได้จากการสนับสนุนเงินกู้ผ่านเจ้าหนี้การค้า และคู่ค้า ในการสนับสนุนการจัดหาวัตถุดิบ เพื่อการผลิต (Collateral Management Agreement - CMA) แต่ต้นทุนทางด้านการเงินจากแหล่งดังกล่าวนี้ค่อนข้างสูง ทำให้ ไม่สามารถแข่งขันกับราคานำเข้า HRC ในบางช่วงได้ นอกจากนั้นการขาดเงินทุนหมุนเวียนยังทำให้บริษัทขาดศักยภาพในการบริหาร จัดการสินค้าสำเร็จรูป (HRC)และการต่อรองกับคู่ค้า เนื่องจากบริษัทจำเป็นต้องขายเพื่อนำมาใช้หมุนเวียนในกิจการถึงแม้ว่าราคา HRC ขณะนั้นเพิ่มหรือลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
จากสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน บริษัทฯ มีแนวทางแก้ไขปัญหา 2 ทาง คือ 1.ขอหารือกับกลุ่ม SSG อีกครั้ง เพื่อเริ่มต้น โครงการแปลงหนี้เป็นทุนอีกครั้ง ซึ่งในกรณีนี้ ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นอีกคือ การคัดค้านจากผู้ถือหุ้นบางกลุ่ม ซึ่งในกรณีนี้ กลุ่ม SSG อาจยังมีความกังวลในเรื่องดังกล่าวอยู่ ซึ่งตราบใดหากบริษัทฯ ไม่สามารถแก้ปัญหาในเรื่องการคัดค้านจากผู้ถือหุ้นบางกลุ่มได้ ความ เป็นไปได้ในการที่กลุ่ม SSG จะเข้ามาเริ่มต้นเริ่มต้นโครงการแปลงหนี้เป็นทุนอีกครั้งจึงมีน้อยมาก
2. การเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ เป็นการดำเนินการเพื่อป้องกันมิให้บริษัทฯ ตกอยู่ในสภาวะล้มละลายและเป็นการ รักษาสิทธิและสถานะของผู้ถือหุ้น (โดยเฉพาะผู้ถือหุ้นที่เป็นนักลงทุนรายย่อยในตลาดหลักทรัพย์ฯ) ที่อาจจะต้องสูญเสียเงินลงทุนทั้ง หมด ถ้าบริษัทฯ ถูกฟ้องล้มละลาย กล่าวคือ เมื่อศาลล้มละลายมีคำสั่งรับคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้จะ ได้รับความคุ้มครองจากการถูกฟ้องร้องบังคับคดีในทางแพ่งและคดีล้มละลาย และการงดให้บริการสาธารณูปโภคต่างๆ ภายใต้เงื่อนไข ที่กฎหมายกำหนด และตัวลูกหนี้เองก็ถูกห้ามมิให้ชำระหนี้หรือก่อหนี้และกระทำการใดๆ ในทางที่ก่อให้เกิดภาระในทรัพย์สิน
นอกจากการดำเนินการที่จำเป็นในการประกอบธุรกิจตามปกติของบริษัทฯ โดยในช่วงของสภาวะการพักการชำระหนี้โดย ผลของกฎหมาย (Automatic Stay) จะให้โอกาสและระยะเวลาช่วงหนึ่งแก่ลูกหนี้ในการพิจารณาหาทางแก้ไขปัญหาของกิจการ ตลอดจนการเจรจาหาทางออกร่วมกับเจ้าหนี้และจัดทำแผนฟื้นฟูโดยไม่ต้องวิตกกังวลว่าจะถูกเจ้าหนี้ฟ้องร้องบังคับเพื่อชำระหนี้ โดย ระยะเวลาในการเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกับเจ้าหนี้และจัดทำแผนฟื้นฟูคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี
ดังนั้น เพื่อป้องกันมิให้บริษัทฯ ตกอยู่ในสภาวะล้มละลายและเป็นการรักษาสิทธิและสถานะของผู้ถือหุ้น (โดยเฉพาะผู้ถือ หุ้นที่เป็นนักลงทุนรายย่อยในตลาดหลักทรัพย์ฯ) และเพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์และคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดกับผู้ถือหุ้นของ บริษัทฯ ให้มากที่สุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 11/2560 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 จึงตัดสินใจบนความ ระมัดระวังอย่างรอบคอบถึงข้อดี ข้อเสีย ที่อาจเกิดขึ้นและได้เห็นควรอนุมัติให้บริษัทเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มิได้แจ้งการอนุมัติเรื่องดังกล่าว ณ วันที่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติ เนื่องจากเรื่องการยื่นคำขอฟื้นฟูกิจการของ บริษัทฯ เป็นเรื่องสำคัญ บริษัทฯจึงต้องการให้ข้อมูลมีความแน่นอนก่อนที่จะแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยเหตุดังกล่าว บริษัทฯจึงต้อง การดำเนินการยื่นคำขอฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ ต่อศาลล้มละลายกลางให้แล้วเสร็จก่อนจึงแจ้งมายังตลาดหลักทรัพย์ฯ
สถานการณ์ทางการเงินของบริษัทฯ ณ ปัจจุบัน บริษัทฯไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ที่มีการทวงถามข้างต้น และนอก จากนี้ บริษัทฯยังมีความเสี่ยงที่จะถูกฟ้องล้มละลายหรือถูกยึดทรัพย์ตามคำพิพากษาโดย Cargill ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาใน จำนวน 93.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ณ วันที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำพิพากษา) ซึ่งเป็นจำนวนหนี้ที่ สูงมาก ซึ่งหาก ACO I และ/หรือ Cargill ใช้สิทธิตามกฎหมาย จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทฯ และธุรกิจ เช่น หาก Cargill ดำเนินการขอออกหมายบังคับคดี เพื่อยึดทรัพย์สินของบริษัทฯจะส่งผลให้ต้องปิดกิจการและลูกค้าอาจยกเลิกใบสั่งซื้อสินค้า และหากมีการยื่นฟ้องล้มละลาย บริษัทฯอาจต้องยุติการประกอบธุรกิจในทันที นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ จะได้รับความเสีย หายอย่างหนัก เพราะบริษัทฯ ไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะใช้คืนเจ้าหนี้
ในส่วนของหนี้ของ Cargill นั้น หาก ACO I และ/หรือ Cargill จะสามารถบังคับยึดทรัพย์สินของบริษัทฯ เพื่อ ขายทอดตลาดและนำมาชำระหนี้ได้ทันที เนื่องจาก Cargill ได้ฟ้องร้องบังคับชำระหนี้จำนวนดังกล่าวและศาลชั้นต้นได้ตัดสินให้ Cargill ชนะคดีแล้ว และบริษัทฯก็ไม่มีกระแสเงินสด หรือแหล่งเงินกู้ใดๆ ที่จะรองรับการจ่ายภาระหนี้ดังกล่าวได้
โดยรายละเอียดของสถานการณ์ทางการเงินของบริษัทฯ ตั้งแต่ปี 2557 จนถึง ณ ปัจจุบัน (ไตรมาส 3/2560 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2560) ปรากฏ ดังนี้
ปี 2557 2558 2259 30 ก.ย.2560 หน่วย: บาท สินทรัพย์รวม 21,919,091,668 19,442,088,148 18,813,890,049 17,995,194,223 หนี้สินรวม 17,279,368,913 18,082,557,519 18,551,140,298 17,622,155,690 ส่วนทุน 4,639,722,755 1,359,530,629 262,749,751 373,038,533 อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน 3.72 13.30 70.60 47.24 รายได้รวม 9,621,186,144 10,782,594,420 10,198,674,553 10,485,677,410 กำไรสุทธิ (1,944,049,731.0) (3,280,192,129) (1,096,780,878) 110,288,781 ดอกเบี้ยจ่าย 403,849,258 522,757,629 578,824,912 604,225,252 EBITDA (638,985,802) (1,869,441,857) 366,987,129 606,548,848 ผลการดำเนินงานของบริษัทตั้งแต่ปี 2557 ซึ่งเป็นปีทีบริษัทกลับมาผลิตใหม่ โดยได้การสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนจากคู่ค้า ผ่านวิธีการ CMA (Collateral Management Agreement) ซึ่งเป็นต้นทุนการเงินที่ค่อนข้างสูง เมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุนการเงิน จากสถาบันการเงิน ทำให้ผลประกอบการบริษัทขาดทุนมาโดยตลอดดังตารางข้างต้น ยกเว้นผลการดำเนินงาน 9 เดือนของปี 2560 บริษัทมีผลการดำเนินงานเป็นบวกเล็กน้อยเนื่องจากการปรับปรุงรายการทางบัญชีจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในอดีต จำนวน 764 ล้านบาท ในไตรมาส 1 หากไม่รวมรายการดังกล่าว งวด 9 เดือน ปี 2560 จะขาดทุนเป็นจำนวน 654 ล้านบาท อย่างไรก็ดี แม้ว่า ณ งบการเงินไตรมาส 3/2560 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2560 จะปรากฏส่วนของทุนของงบ การเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ จะเป็นบวกจำนวน 373 ล้านบาท แต่บริษัทฯยังมีหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต (Contingent liabilities) ที่เกิดจากการสั่งซื้อสินค้า (เศษเหล็ก(Scrap Steel)) จากคู่ค้าที่ยกเลิกไม่ได้ จำนวน 1,276 ล้านบาท และ หากบริษัทฯถูกฟ้องล้มละลายจากเจ้าหนี้รายใดรายหนึ่ง หนี้สินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต (Contingent liabilities) จำนวนดัง กล่าวจะกลายเป็นหนี้สิน (Liabilities) ของบริษัทฯ ทันที เนื่องจาก บริษัทฯมีหน้าที่ที่จะต้องชำระหนี้สินตามที่ได้มีการสั่งซื้อ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีสินค้า (เศษเหล็ก (Scrap Steel)) ที่อาจถูกยักยอก ฉ้อโกง หรือ ลักทรัพย์ อีกจำนวนประมาณ 300 ล้านบาทซึ่งเรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาสืบสวน จากเจ้าหน้าที่รวมถึงการสรุปความผิดที่ชัดเจน ดังนั้น แม้ส่วนของทุนจะเป็นบวกแต่เมื่อหักหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต(Contingent liabilities) และหักสินค้า(เศษเหล็ก (Scrap Steel)) ที่อาจถูกยักยอก ฉ้อโกง หรือ ลักทรัพย์ บริษัทฯ จะอยู่ในภาวะที่มี หนี้สินจำนวน 19,198 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าทรัพย์สินเป็นจำนวน 1,203 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุในการขอฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ ได้ อย่างไรก็ดี แม้บริษัทฯ จะต้องเข้าสู่กระบวนการการขอฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ บริษัทฯ ขอเรียนว่าการดำเนินการดัง กล่าวมิได้มีผลต่อการดำเนินธุรกิจปกติของบริษัทฯเนื่องจากบริษัทจะยังสามารถผลิตสินค้าและส่งมอบให้ลูกค้าได้ปกติโดยใช้เงินทุนหมุน เวียนที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพราะจากการดำเนินงานที่ผ่านมารายได้จากการผลิตและขายสามารถชำระค่าวัตถุดิบได้อย่างปกติ แต่ไม่ สามารถชำระหนี้การค้าที่ผิดนัดตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจในปี 2551 ได้เท่านั้น โปรดสังเกตว่า EBITDA เป็นบวกตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้น มา เนื่องจากตลาดยังมีความต้องการสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่บริษัทขาดเงินทุนหมุนเวียนที่จะทำให้บริษัทผลิตเต็มกำลังการผลิตที่ 120,000 ตันต่อเดือน(ปัจจุบันบริษัทผลิตที่ 60,000 ตันต่อเดือน) ด้วยเหตุผลที่เรื่องการยื่นคำขอฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ เป็นเรื่องสำคัญ และมีผลกระทบต่อการตัดสินใจของนักลงทุนใน การซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทฯ บริษัทฯมีความประสงค์ให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และผู้ลงทุนทั่วไปรับทราบและรับรู้ข้อมูลการยื่นคำขอฟื้นฟู กิจการของบริษัทฯ อย่างเท่าเทียมกัน บริษัทฯ จึงขอหยุดพักการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทฯ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็น การชั่วคราว ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2560 หากบริษัทฯ มีความคืบหน้าในการขอฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ ประการใด บริษัทฯ จะ ดำเนินการเผยแพร่ข้อมูลผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไปโดยทันที