บมจ.อกริเพียว โฮลดิ้งส์ (APURE) แจ้งว่าตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ขอให้คณะกรรมการบริษัทชี้แจงกรณีอนุมัติการลงทุนในหุ้นเพิ่มทุนของบมจ.อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง (IEC) นั้น ยืนยันว่าจะส่งผลดีต่อการลงทุนในระยะยาว เนื่องจากธุรกิจพลังงานมีทิศทางการเติบโต อีกทั้งยังคาดหวังกำไรส่วนต่างราคาหุ้นที่เกิดจากการซื้อหุ้นเพิ่มทุน IEC ในราคาที่ต่ำกว่าราคาหุ้น IEC ที่ซื้อขายล่าสุดเมื่อวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมาด้วย
ทั้งนี้ IEC ระบุว่า สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับฐานะการเงิน ผลการดำเนินงาน และข้อมูลอื่นของ IEC ที่ทางคณะกรรมการบริษัท และกรรมการตรวจสอบ ของบริษัทใช้พิจารณาการลงทุนในหุ้นเพิ่มทุนของ IEC รวมถึงหลักเกณฑ์การพิจารณา และการประเมินผลตอบแทน และความเสี่ยงนั้น ทางคณะกรรมการบริษัท และคณะกรรมการตรวจสอบ ได้ใช้ข้อมูลจากงบการเงินไตรมาส 1/59 (ถึงแม้ว่า IEC จะมีการรายงานการเงินตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2559 ทางคณะกรรมการบริษัทและคณะกรรมการตรวจสอบ ได้ใช้ข้อมูลในงบการเงินนี้ ประกอบการพิจารณา เนื่องจากมองว่างบการเงินฉบับนี้ยังสามารถแสดงให้ถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้เนื่องจากธุรกิจพลังงานทดแทนเป็นธุรกิจ ระยะยาว ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในระยะสั้น ๆ)
โดยจะเห็นได้ว่า IEC เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับพลังงาน ทดแทนทั้งจากพลังงาน แสงอาทิตย์ ขยะ และเชื้อเพลิงชีวมวล รวมถึงธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติกจากขยะรีไซเคิล ธุรกิจบริการติดตั้งและพัฒนาระบบเทคโนโลยี สารสนเทศ และธุรกิจผลิตภัณฑ์วิศวกรรม ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ ทางบริษัท ได้เล็งเห็นว่าเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มไปในทางที่ดี และกำลังเติบโต เนื่องจากได้รับความสนใจจากทุกภาคส่วน และเป็นแหล่งพลังงานในอนาคต
นอกจากนั้น ทางคณะกรรมการบริษัท และคณะกรรมการตรวจสอบ ได้พิจารณาถึงฐานะการเงิน ซึ่งจะเห็นได้ว่า IEC ได้มีการลงทุนเพิ่มในธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะได้ผลตอบแทนจาก โครงการลงทุนต่าง ๆ เมื่อสามารถดำเนินงานเชิงพาณิชย์ได้ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเห็นความเติบโตทางด้านรายได้ และผลกำไรจากทาง IEC
ในส่วนของการประเมินผลตอบแทน ทางคณะกรรมการบริษัท และคณะกรรมการตรวจสอบ ได้พิจารณาถึงผลตอบแทนที่บริษัท จะได้รับเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก ทางบริษัทคาดว่าจะได้รับผลกำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้น ณ ราคาตลาด (ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2559 ราคาของหุ้น IEC อยู่ที่ 0.02 บาท) และราคาที่ได้รับจากการเพิ่มทุน (0.0125 บาท) และส่วนที่ 2 หากธุรกิจของทาง IEC เติบโตมากขึ้น ทางบริษัทก็มีสิทธิที่จะได้รับเงินปันผล ถึงแม้ว่า ตอนนี้ IEC จะมีขาดทุนสะสมอยู่ก็ตาม แต่ทางคณะกรรมการบริษัทและคณะกรรมการ ตรวจสอบก็คาดว่า IEC จะสามารถได้ผลตอบแทนจากโครงการลงทุนต่าง ๆ จนสามารถจ่ายเงินปันผลได้ ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้ล้วนเป็นประโยชน์ กับทางบริษัท
นอกจากนี้ ทางบริษัทยังมองว่า การลงทุนในธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการเกษตรนั้น เป็นการกระจายความเสี่ยงให้แก่ บริษัทอีกด้วย ซึ่งเป็นหลักการที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจปัจจุบัน
ในส่วนของการประเมินความเสี่ยงนั้น กรณีความเสี่ยงเกี่ยวกับการดำเนินงานต่อเนื่องของ IEC ซึ่งคณะกรรมการบริษัท และคณะกรรมการตรวจสอบ พิจารณาร่วมกันว่า ไม่น่าเป็นประเด็นสำคัญ เนื่องจากทาง IEC ได้มีการแจ้งข่าวโดยตลอด รวมถึงได้มีการว่าจ้างผู้ตรวจสอบบัญชีรายใหม่ เพื่อเข้ามาตรวจสอบ งบการเงิน จึงคาดว่า IEC จะยังดำเนินการต่อเนื่องและพยายามที่จะกลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ส่วนความเสี่ยงเรื่องผลการดำเนินงานที่ มีผลการดำเนินงานขาดทุนของ IEC นั้น ทางคณะกรรมการบริษัท และคณะกรรมการตรวจสอบมีความเห็นว่า มีความเป็นไปได้ที่ IEC จะมีผลการดำเนินงานที่ดีในอนาคตอันใกล้ ทางบริษัท มองว่าผลตอบแทนที่ทางบริษัทจะได้รับนั้นเป็นประโยชน์กับบริษัทมากกว่าความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น
สำหรับความเห็นของคณะกรรมการบริษัท และคณะกรรมการตรวจสอบเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นเพิ่มทุนของ IEC คณะกรรมการและคณะกรรมการตรวจสอบได้พิจารณาด้วยความระมัดระวังรอบคอบ และเป็นประโยชน์แก่ผู้ถือหุ้นอย่างไรนั้น คณะกรรมการบริษัท และคณะกรรมการตรวจสอบ เห็นว่าบริษัท และผู้ถือหุ้น จะสามารถได้รับผลประโยชน์จากการที่บริษัทลงทุนในหุ้นเพิ่มทุน IEC ในระยะยาว เนื่องจากคาดว่า IEC จะสามารถเติบโต และมีผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น IEC ได้ ดังนั้น คณะกรรมการบริษัท และคณะกรรมการตรวจสอบ ได้พิจาณาอย่างละเอียดรอบคอบ และเห็นแก่ผลประโยชน์ของบริษัท และผู้ถือหุ้นเป็นที่ตั้ง จึงอนุมัติให้มีการลงทุนในหุ้นเพิ่มทุนของ IEC โดยมีความเห็นเป็นเอกฉันท์
สำหรับกรณีให้บริษัท ชี้แจงข้อมูลให้ครบถ้วนตามข้อกำหนดของรายการที่เกี่ยวโยงกัน ได้แก่ ข้อมูลสำคัญของ IEC เช่นการประกอบธุรกิจ สรุปฐานะทางการเงิน และผลการดำเนินงาน เกณฑ์ที่ใช้กำหนดวงเงินลงทุน การออกเสียงของกรรมการที่มีส่วนได้เสียหรือกรรมการที่เป็นบุคคลเกี่ยวโยงกันนั้น บริษํทได้มีข้อมูลถึงไตรมาส 1/59 โดย IEC มีสินทรัพย์รวมเท่ากับ 4,948.48 ล้านบาท มีหนี้สินรวมเท่ากับ 1,102.55 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 3,685.25 ล้านบาท มีรายได้รวม 131.89 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 22.98 ล้านบาท
เกณฑ์ที่ทางบริษัทใช้ในการกำหนดวงเงินลงทุน คือ พิจารณาจากเงินสดในบริษัทที่มีอยู่ หักลบเงินสดที่ต้องใช้ เพื่อการดำเนินงานปกติ โดยจะเห็นได้ว่าบริษัทมีเงินสด เท่ากับ 174 ล้านบาท (งบรวม) ซึ่งจากการวิเคราะห์งบกระแสเงินสดของบริษัท จะเห็นได้ว่า บริษัทมีเงินสดเพิ่มขึ้นมาทุกปี และหากจะเก็บเงินสดไว้โดยไม่นำไปลงทุนหรือใช้ประโยชน์ให้ได้ผลกำไร ทางบริษัทก็มองว่าจะเป็นการเสียโอกาส ดังนั้น ทางบริษัทเลยนำเงินมาลงทุนในหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท IEC โดยบริษัทมีการใช้เงินเพื่อการดำเนินงาน 130 ล้านบาท (รวมประมาณการการเติบโตของบริษัทแล้ว) ดังนั้น จากเงินสดที่บริษัทมีอยู่ ณ วันที่ 30 กันยายน 2560 บริษัทจึงเหลือ เงินสดไว้สำหรับลงทุนเท่ากับ 34 ล้านบาท บริษัทจึงตัดสินใจลงทุนในหุ้นเพิ่มทุนของ IEC ในวงเงินรวม 30 ล้านบาท
ในส่วนของการออกเสียงของกรรมการในการประชุมอนุมัติการลงทุนในหุ้นเพิ่มทุนของ IEC คณะกรรมการบริษัท และคณะกรรมการตรวจสอบ มีมติเป็นเอกฉันท์ โดยนายสุเรศพล จึงรุ่งเรืองกิจ (ประธานกรรมการ) ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีส่วนได้เสีย ได้งดออก เสียงในวาระนี้