บมจ.เอ็น.ดี.รับเบอร์ (NDR) จะเข้าซื้อหุ้นทั้งหมด 100% ใน Fung Keong Rubber Manufactory (Malaya) Sdn Bhd (FKRMM) ซึ่งทำธุรกิจยางรถจักรยานยนต์ของมาเลเซีย จาก Consistent Record Sdn Bhd (CRSB) คิดเป็นมูลค่า 416.54 ล้านบาท โดยจะชำระค่าหุ้นด้วยการออกหุ้นเพิ่มทุน 55 ล้านหุ้น เสนอขายให้แก่ CRSB ในอัตราหุ้นละ 4 บาท คิดเป็นมูลค่า 220 ล้านบาท และชำระเงินสดอีกมูลค่าราว 196.54 ล้านบาท ส่งผลให้ CRSB เข้ามาถือหุ้นในบริษัทสัดส่วน 20.31%
NDR แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวานนี้ (26 พ.ย.) มีมติเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติให้บริษัทเข้าซื้อหุ้นทั้งหมด 100% ของ FKRMM จาก CRSB มูลค่า 53 ล้านริงกิตมาเลเซีย หรือราว 416.54 ล้านบาท โดยบริษัทจะชำระค่าหุ้นด้วยหุ้นเพิ่มทุนที่จะออกใหม่ 55 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 4 บาท คิดเป็นมูลค่า 220 ล้านบาท และเงินสดอีกราว 196.54 ล้านบาท โดยคาดว่าจะดำเนินการภายหลังจากได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2561 ซึ่งกำหนดในวันที่ 18 ม.ค.61 คาดว่าจะทำรายการแล้วเสร็จภายใน 60 วัน หลังจากวันประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งหลังการเข้าทำรายการดังกล่าวแล้ว CRSB จะเข้ามาถือหุ้นในบริษัทสัดส่วน 20.31%
สำหรับเงินสดที่จะใช้ชำระค่าหุ้น FKRMM จำนวน 196.54 ล้านบาท จะมาจากเงินหมุนเวียนภายในบริษัท มูลค่า 68.54 ล้านบาท และเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน มูลค่า 128 ล้านบาท
การเข้าซื้อหุ้นของ FKRMM ครั้งนี้จะทำให้บริษัทสามารถได้รับประโยชน์ในทันที เนื่องจาก FKRMM เป็นลูกค้าของบริษัทมานานกว่า 10 ปี และมีการขายยางนอกและยางในรถจักรยานยนต์ในมาเลเซียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง FKRMM มีศูนย์กระจายสินค้า 4 แห่งครอบคลุมในประเทศมาเลเซีย ซึ่งการลงทุนครั้งนี้จะทำให้บริษัทสามารถรับรู้กำไรเพิ่มขึ้นได้ทันทีจากการควบรวมงบการเงินของ FKRMM กับงบการเงินของบริษัท ขณะเดียวกันจะสามารถเข้าไปขยายตลาดในมาเลเซียเพิ่มขึ้นได้ อีกทั้งยังเป็นการป้องกันไม่ให้สูญเสียตลาดที่สำคัญในมาเลเซียต่อคู่แข่งทางการค้า
นอกจากนั้นก่อนที่ FKRMM จะซื้อยางนอกและยางในรถจักรยานยนต์จากบริษัท FKRMM ยังเคยเป็นผู้ผลิตยางนอกและยางในรถจักรยานยนต์ที่มีชื่อเสียงของมาเลเซีย ดังนั้น บุคลากรของ FKRMM จึงมีความรู้และความชำนาญไม่เฉพาะด้านการจำหน่ายสินค้าในมาเลเซียเท่านั้น แต่ยังมีความรู้ในด้านการผลิตผลิตภัณฑ์ที่จะมาเสริมให้บริษัทสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้อีกด้วย
ปัจจุบัน FKRMM ได้ว่าจ้างให้บริษัทผลิตยางนอกและยางในรถจักรยานยนต์ภายใต้แบรนด์ FKR ตั้งแต่ปี 47 เพื่อนำเข้าไปจำหน่ายในมาเลเซีย
NDR ระบุว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 377.5 ล้านบาท จากเดิมที่ 322.5 ล้านบาท โดยออกหุ้นเพิ่มทุนใหม่ 55 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 1 บาท เสนอขายให้แก่ CRSB ที่หุ้นละ 4 บาท เพื่อชำระค่าหุ้น FKRMM
นายชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา กรรมการผู้จัดการ NDR เปิดเผยว่า การเข้าซื้อ FKRMM จะเป็นการเสริมกันกับธุรกิจของบริษัทฯ เนื่องจากที่ผ่านมา NDR เป็นผู้ผลิตสินค้ายางในและยางนอกรถจักรยานยนต์ให้แก่กลุ่มบริษัท FKRMM เพื่อนำไปจัดจำหน่ายในประเทศมาเลเซีย โดยรายได้ประมาณ 40% ของรายได้รวม และรายได้ประมาณ 80% ของรายได้ที่ส่งออกเป็นรายได้ที่จัดจำหน่ายให้แก่กลุ่ม FKRMM
ดังนั้น การเข้าทำรายการซื้อหุ้นสามัญของบริษัท FKRMM จึงเป็นการเสริมกันของธุรกิจในแนวตั้ง เป็นการได้ตราสินค้าของ FKRMM ซึ่งเป็นที่รู้จักของผู้บริโภคมากว่า 50 ปี ได้บริษัทผู้จัดจำหน่ายสินค้าที่มีตัวแทนจำหน่ายในประเทศมาเลเซียมากกว่า 79 ราย รวมถึงมีคลังสินค้าในการจัดเก็บและกระจายสินค้าที่เป็นของตัวเองถึง 4 แห่ง ในประเทศมาเลเซีย
นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างโอกาสในการขยายฐานลูกค้าและเป็นการสร้างโอกาสในการจัดจำหน่ายสินค้าที่ผลิตจากยางนอกเหนือจากยางนอกและยางในรถจักรยานยนต์ และรองเท้าในประเทศมาเลเซียและประเทศใกล้เคียงให้แก่บริษัทฯ ในอนาคต และภายหลังการเข้าทำรายการเรียบร้อยแล้ว บริษัทฯ จะแต่งตั้งตัวแทนเข้าไปเป็นกรรมการบริษัทของ FKRMM จำนวน 2 ท่าน และแต่งตั้งผู้บริหารเพื่อเข้าไปบริหารงานของ FKRMM จำนวน 1 ท่าน อย่างไรก็ดี สำหรับการดำเนินกิจการปกติยังคงใช้บุคลากรเดิมของ FKRMM ในการปฏิบัติงานต่อไป
เมื่อเข้าทำรายการเรียบร้อยแล้ว CRSB จะเข้ามาถือหุ้นในบริษัทฯ ในสัดส่วน 20.31% ของทุนชำระแล้ว พร้อมกันนี้ CRSB จะมีการส่งตัวแทนเข้ามาเป็นกรรมการของ บริษัทฯ จำนวน 1 ท่านโดยกรรมการที่เป็นตัวแทนจาก CRSB ไม่ได้เป็นผู้บริหารที่มีอำนาจการตัดสินใจในการดำเนินงานตามปกติของบริษัทฯ
อย่างไรก็ตาม สัดส่วนการถือหุ้นของ CRSB ภายหลังการทำรายการจะมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับจำนวนการใช้สิทธิในใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้น NDR-W1 ของ CRSB จำนวน 32.00 ล้านหน่วย และจำนวนการใช้สิทธิของผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิรายอื่นๆ ในวันที่ใช้สิทธิ ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2560, วันที่ 15 มิถุนายน 2561 และวันที่ 22 ธันวาคม 2561 ซึ่งเป็นวันที่ใช้สิทธิครั้งสุดท้าย