นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น (PACE) เปิดเผยยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติบริษัทขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งแรกให้แก่ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ที่จะจองซื้อจำนวน 400 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท คิดเป็นสัดส่วน 9.62% โดยเสนอราคาขายเท่ากับ 0.51 บาท/หุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 204 ล้านบาท โดยการเข้าลงทุนเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับบริษัท และเพื่อให้บริษัท เพซ โปรเจ็ค วัน จำกัด และ บริษัท เพซ โปรเจ็ค ทรี จำกัด สามารถดำเนินธุรกิจได้ต่อไปตามปกติเต็มศักยภาพต่อไป
ทั้งนี้ SCB ยังมีหนังสือมายังบริษัทฯ โดยขอให้ชี้แจงข้อมูลและข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบแก่สัญญาสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจของบริษัทฯ และบริษัทย่อย และอาจกระทบต่อการตัดสินใจของธนาคารฯ ในการลงทุนซื้อหุ้นเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ที่บริษัทได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 2/2560 เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2560
บริษัทได้ชี้แจงว่าในการพัฒนาโครงการมหานคร ซึ่งดำเนินการผ่านบริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท เพซ โปรเจ็ค วัน จำกัด (PP1) และบริษัท เพซ โปรเจ็ค ทรี จำกัด (PP3) นั้น ต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมาก ซึ่งต่อมาในช่วงเดือน ม.ค.60 Apollo Asia Sprint Holding Company Limited แ ละ Goldman Sachs Investments Holdings (Asia) Limited ได้เข้าร่วมลงทุนใน PP1 และ PP3 โดยร่วมลงทุนเป็นเงินประมาณ 8,441,200,000 บาท ผ่านการเพิ่มทุนใน PP1 และ PP3 จำนวนประมาณ 7,783.2 ล้านบาท พร้อมให้กู้ยืมเงินจานวนประมาณ 658 ล้านบาท ทำให้บริษัทฯ และผู้ร่วมลงทุนถือหุ้นทั้งใน PP1 และ PP3 สัดส่วนประมาณ 51:49
ในระหว่างการดำเนินการก่อสร้างโครงการมหานครของ PP1 และ PP3 ผู้ร่วมลงทุนเห็นว่าการดำเนินธุรกิจดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายในช่วงเวลาตั้งแต่ประมาณเดือน มี.ค.60 สูงเกินกว่าที่ได้ตกลงกับกลุ่มผู้ร่วมทุนไว้ แต่บริษัทไม่เห็นด้วยจึงเป็นกรณีการดำเนินธุรกิจในเรื่องที่เป็นข้อสาระสำคัญที่มีความเห็นไม่ตรงกัน
ดังนั้น เมื่อวันที่ 4 ก.ค.60 กลุ่มผู้ร่วมทุนจึงได้ส่งเอกสารแจ้งมายังบริษัทว่ามีเหตุการณ์ที่ไม่อาจตกลงกันได้ระหว่างคู่สัญญา ภายใต้สัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของ PP1 และสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นของ PP3 โดยภายใต้สัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นที่เกี่ยวข้องนั้น ผู้ร่วมลงทุนมีสิทธิที่จะ (1) ซื้อหุ้นที่กลุ่มบริษัทถืออยู่ใน PP1 และ PP3 ในราคาตลาดที่คำนวณตามวิธีการที่กำหนดไว้ในสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นที่เกี่ยวข้อง หรือ (2) ขายหุ้นทั้งหมดที่ถือโดยกลุ่มบริษัทและผู้ร่วมลงทุนใน PP1 และ PP3 โดยวิธีการเปิดประมูลให้กับบุคคลภายนอกแล้วนำเงินที่ได้จากการขายมาแบ่งกันระหว่างกลุ่มบริษัทและผู้ร่วมลงทุนตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ในสัญญาผู้ถือหุ้น
ทั้งนี้ หาก (ก) ผู้ร่วมลงทุนเลือกที่จะขายหุ้นโดยวิธีการเปิดประมูลตาม (2) ดังกล่าวและได้รับผลตอบแทนจากการขายในมูลค่าที่ต่ำกว่ามูลค่าเงินลงทุนของผู้ร่วมลงทุนใน PP1 และ PP3 รวมกับผลตอบแทนในเงินปันผลสะสมที่ผู้ร่วมลงทุนจะได้รับใน PP1 และ PP3 และค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เกี่ยวข้อง และ (ข) เหตุที่ทำให้เกิดการขายหุ้นดังกล่าวเป็นเหตุที่บริษัทฯ ต้องรับผิดชอบ (Recourse Event) ตามสัญญาที่เกี่ยวข้องระหว่างบริษัทกับผู้ร่วมลงทุน บริษัทฯ จะต้องชดเชยเงินส่วนต่างในจำนวนที่ไม่เกิน 50 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐให้กับผู้ร่วมลงทุน
นอกจากนี้ในวันเดียวกัน คือเมื่อวันที่ 4 ก.ค.60 บริษัทฯ ได้เข้าทำหนังสือ Consent Conditions Undertaking (CCU) กับผู้ร่วมลงทุน ซึ่งหนังสือ CCU ดังกล่าวมีเงื่อนไขสำคัญที่บริษัทฯ จะต้องปฏิบัติตาม เช่น บริษัทฯ มีภาระผูกพันในการซื้อหุ้นบางส่วนใน PP1 และ PP3 จากผู้ร่วมลงทุน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3,747.6 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ภายหลังจากนั้น บริษัท และกลุ่มผู้ร่วมลงทุนได้ทำความตกลงเพื่อขจัดข้อขัดแย้งบางประการที่มีอยู่ โดยทั้งสองฝ่ายได้ทำความตกลงยกเลิกหนังสือ CCU ดังกล่าวอันมีผลทำให้บริษัทฯ ไม่มีภาระผูกพันใด ๆ ตามที่กำหนดไว้ในหนังสือ CCU
ในปัจจุบัน บริษัทฯ PP1 และ PP3 ยังคงดำเนินการก่อสร้างโครงการมหานครตามปกติ โดยที่กลุ่มผู้ร่วมลงทุนก็มิได้กระทาการใด ๆ อันเป็นการขัดขวางการดำเนินการปกติดังกล่าวของบริษัทที่มีอยู่จนถึงปัจจุบันแต่อย่างใด ทั้งนี้ในปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการเสาะหาผู้ร่วมทุนรายใหม่ที่มีศักยภาพ และกลยุทธ์ในแนวทางที่จะช่วยส่งเสริมกิจการของบริษัทฯ ให้เติบโตต่อไปข้างหน้า เพื่อเข้ามาทดแทนผู้ร่วมลงทุนรายเดิมใน PP1 และ PP3
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้เลิกบริษัทย่อยของบริษัท ได้แก่ บริษัท เพซ ครีเอทีฟ เอเจนซี่ จำกัด (PCA) ซึ่งประกอบธุรกิจให้บริการด้านการออกแบบโฆษณา การสื่อสารทางการตลาด และมีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท โดยบริษัทถือหุ้น 100% เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันไม่เอื้ออำนวยการประกอบธุรกิจประเภทดังกล่าว อีกทั้งธุรกิจนี้มิใช่ธุรกิจหลักของบริษัท โดยบริษัทจะดำเนินการเลิกบริษัทตามขั้นตอนทางกฎหมายและชำระบัญชีให้เสร็จสิ้น ทั้งนี้ การเลิกบริษัทย่อยดังกล่าว ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทแต่อย่างใด