บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) คาดการณ์ว่าปี 61 ค่าการกลั่น (GRM) จะมีค่าเฉลี่ยประมาณ 6.6 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล และในส่วนของการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันคาดว่าจะสามารถดำเนินการผลิตได้ร้อยละ 100 และไม่มีแผนการหยุดซ่อมบำรุงในปีนี้ ขณะที่มองราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้น จากรายงานอัตราความร่วมมือการลดปริมาณการผลิตน้ำมัน (Compliance Rate) ของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และนอนโอเปกอยู่ในระดับที่ดีต่อเนื่อง ประเด็นความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ความไม่สงบในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง อย่างไรก็ดีปัจจัยหลักที่จะมีผลกระทบเรื่องปริมาณการผลิตปิโตรเลียมจากแหล่งหินดินดาน (Shale) ในสหรัฐฯ ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจะเป็นปัจจัยหลักที่จะกดดันราคาน้ำมันในอนาคต
สำหรับแนวโน้มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ คาดว่าส่วนต่าง (สเปรด) ของผลิตภัณฑ์พาราไซลีนกับคอนเดนเสทในปี 61 จะมีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากค่าเฉลี่ยในปี 60 เล็กน้อย โดยคาดว่าจะอยู่ประมาณ 365 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน โดยมีการคาดการณ์ถึงอุปทานรายใหม่ที่เลื่อนการเปิดดำเนินการผลิตจากปี 60 ได้แก่ ซาอุดิอาระเบียและเวียดนาม ในขณะที่อุปสงค์จะขยายตัวจากภาคอุตสาหกรรม เส้นใย และสิ่งทอ (Polyester) และขวดบรรจุภัณฑ์โพลีเอทิลีน เทเรฟทาเลต (PET Bottle Resin) และผลิตภัณฑ์ปลายน้ำในส่วนของ Purified terephthalic acid (PTA) ยังคงมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง
ส่วนสเปรดของราคาเบนซีนและคอนเดนเสทคาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 310 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน โดยคาดว่าอุปสงค์ของผลิตภัณฑ์เบนซีนจะปรับตัวดีขึ้นกว่าอุปทานใหม่ที่จะเข้ามาในตลาด ขณะที่การใช้กำลังการผลิตในปี 61 บริษัทคาดการณ์การใช้กำลังการผลิตที่ดีขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 91 โดยเป็นผลจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของหน่วยผลิตอะโรเมติกส์ 2 ในปี 60 และไม่มีแผนการหยุดซ่อมบำรุงในปี 61
ด้านแนวโน้มของสถานการณ์ผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องมีแนวโน้มดีขึ้น โดยคาดว่าราคาเอทิลีนจะอยู่ราว 1,192 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน และราคาเฉลี่ยเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีน (PP) จะอยู่ราว 1,243 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน โดยคาดการณ์ว่ากำลังการผลิตจากโครงการใหม่ในประเทศสหรัฐอเมริกาและภูมิภาคเอเชีย ไม่รวมตะวันออกกลางจะเพิ่มขึ้นประมาณ 5.7 ล้านตัน ในขณะที่จากการเติบโตของอุปสงค์ของเม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีน ประกอบกับประเทศจีนที่ยกเลิกการใช้โพลีเอทิลีนเกรดรีไซเคิล และเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มในเชิงบวก ส่งผลให้ความต้องการใช้โดยรวมอยู่ที่ประมาณ 5.5-6.0 ล้านตัน/ปี ทำให้คาดว่าตลาดจะอยู่ในระดับที่สมดุลมากขึ้น
ทั้งนี้ ในปี 61 คาดกำลังการผลิตของธุรกิจโอเลฟินส์จะอยู่ที่ร้อยละ 99 ทั้งนี้ได้รวมผลกระทบจากแผนการหยุดซ่อมบำรุงหน่วยผลิตโอเลฟินส์ 1 ในไตรมาส 3/61 แล้ว
ส่วนความคืบหน้าของการดำเนินโครงการ mLLDPE คือโครงการเพื่อสร้างโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกชนิด LLDPE กำลังการผลิต 400,000 ตัน/ปี และโรงงานผลิตโคโมโนเมอร์ชนิด Hexene-1 กำลังการผลิต 34,000 ตัน/ปี (Hexene-1 ใช้ในการร่วมผลิตเม็ดพลาสติกชนิด LLDPE) โครงการดังกล่าวจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์เอทิลีนที่บริษัทมีอยู่ โดยการต่อห่วงโซ่ผลิตภัณฑ์ให้ยาวขึ้น ขณะนี้โรงงานดังกล่าวก่อสร้างแล้วเสร็จและคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 1/61
PTTGC ยังระบุถึงผลการดำเนินงานในปี 60 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 39,298 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 53 จากปีก่อน เป็นผลจากรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 24% มาที่ 436,745 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากปริมาณการขายที่เพิ่มมากขึ้นจากประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้น และระดับราคาผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่การใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้นโดยเฉพาะจากโรงกลั่นและโรงโอเลฟินส์ โดยโรงกลั่นน้ำมัน มีอัตราการใช้กำลังการผลิตร้อยละ 103 และโรงโอเลฟินส์ที่ร้อยละ 96 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ที่มีการใช้กำลังการผลิตร้อยละ 83 และร้อยละ 90 ตามลำดับ ขณะที่มีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อสินทรัพย์กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี ของบมจ.ปตท. (PTT) ในปีที่ผ่านมา และผลประโยชน์จากโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพทั่วทั้งองค์กร (MAX) จำนวน 2,919 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพทั่วทั้งองค์กรที่ได้เริ่มดำเนินการมาในช่วงปลายปี 59
นอกจากนี้มีผลกำไรจากผลการปรับมูลค่าสต็อกน้ามัน (Stock gain) ทั้งสิ้น 2,858 ล้านบาท แต่เมื่อพิจารณาร่วมกับผลขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยง (Commodity Hedging) แล้วนั้นคิดเป็นผลกำไรสุทธิดังกล่าวเท่ากับ 1,383 ล้านบาท รวมทั้งมีการรับรู้ขาดทุนจากการด้อยค่าของบริษัท Myriant จำนวน 2,004 ล้านบาทที่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 4/60 ด้วย