บมจ.ดุสิตธานี (DTC) แจ้งว่า บริษัทเข้าลงทุนในบริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (NRIP) ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตและส่งออกอาหารสำเร็จรูป โดยให้บริษัทหรือบริษัทย่อยที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่เข้าซื้อหุ้นสามัญจำนวน 2,452,076 หุ้น คิดเป็น 24.9% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของ NRIP จาก Wellpo Capital Limited คิดเป็นมูลค่า 613.019 ล้านบาท และซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ NRIP จำนวน 200,000 หุ้น คิดเป็นมูลค่า 50 ล้านบาท มูลค่ารวมทั้งสิ้น 663.019 ล้านบาท รวมถือหุ้นใน NRIP เป็นจำนวน 2,652,076 หุ้น คิดเป็น 25.9%
ทั้งนี้ บริษัทได้จัดตั้งบริษัทย่อย ชื่อ บริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจลงทุนในบริษัทซึ่งประกอบธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร ทุนจดทะเบ่ยน 100,000 บาท เพื่อเข้าลงทุนใน NRIP ในครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม การเข้าลงทุนใน NRIP จะเกิดขึ้นเมื่อเงื่อนไขบังคับก่อนที่เป็นสาระสำคัญ ได้แก่ 1.ผู้ให้สินเชื่อกับ NRIP จะต้องอนุญาตให้มีการปลดจำนำหุ้นที่จะขายให้แก่บริษัทหรือบริษัทย่อย และอนุญาตให้บริษัทหรือบริษัทย่อยเข้าถือหุ้นใน NRIP ตามเงื่อนไขที่บริษัทเห็นชอบ และ 2.ผู้ขายจะต้องดำเนินการต่างๆ เพื่อให้ผู้ให้สินเชื่อกับ NRIP ปลดจำนำหุ้นที่จะขายให้แก่บริษัท หรือบริษัทย่อย ตามเงื่อนไขที่บริษัทหรือบริษัทย่อยเห็นชอบ
สำหรับ NRIP เป็นผู้ผลิตและส่งออกอาหารแห้งและเครื่องปรุงรสให้แก่ลูกค้าในต่างประเทศทั้งยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย และประเทศอื่นๆ รวมถึงการผลิตและจำหน่ายภายใต้ตราสินค้าของตนเอง เช่น ตราพ่อขวัญ, Thai Delight , DEDE, Lee Brand
การเข้าลงทุนครั้งนี้ DTC ได้วางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ 3 ด้านคือ การขยายการเติบโตของธุรกิจ การกระจายความเสี่ยง และสร้างความสมดุลรายได้เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับบริษัทในระยะยาว การร่วมลงทุนใน NRIP นั้นสอดคล้องกับหนึ่งในกลยุทธ์และนโยบายสำคัญของดุสิต ที่ต้องการขยายการเติบโตของธุรกิจ
โดยการลงทุนใน NRIP จะเป็นการขยายธุรกิจออกไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงดุสิตเองมีความเชี่ยวชาญในเรื่องการผลิตอาหารเพื่อให้บริการร้านอาหารในเครือ ดังนั้น นอกจากจะเป็นประโยชน์ในเชิงการลงทุนแล้ว การร่วมลงทุนกับ NRIP ดังกล่าว ยังสามารถต่อยอดในการโปรเมทสินค้าที่ได้คุณภาพและมาตรฐานภายใต้แบรนด์ดุสิตให้ออกสู่ตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศได้ในอนาคต โดยการร่วมพัฒนาแบรนด์ในลักษณะพันธมิตรร่วมกันกับ NRIP ในอนาคต
ทั้งนี้ แหล่งเงินทุนเข้าลงทุนครั้งนี้มาจากกระแสเงินสดภายในของบริษัท และ/หรือบริษัทในเครือ และเงินกู้จากสถาบันการเงินในประเทศ
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม DTC เปิดเผยว่า การขยายการลงทุนไปยังธุรกิจอาหาร ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักของดุสิตธานี และเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต โดย NRIP มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการผลิตและจำหน่ายสินค้าที่เป็นอาหารแห้ง ส่วนผสมของอาหาร และเครื่องปรุงรสแบบต่างๆ ให้กับลูกค้าที่เป็นบริษัทข้ามชาติชั้นนำในประเทศ และลูกค้าทั้งในยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย และประเทศอื่นๆ ตลอดจนผลิตและจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ของตนเอง อาทิ พ่อขวัญ, Lee, Thai Delight, DEDE, และ Shanggie
โดย บริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัดจะเข้าถือหุ้นในสัดส่วนประมาณ 26% คิดเป็นมูลค่าลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 660 ล้านบาท
สำหรับการลงทุนในธุรกิจอาหารครั้งนี้ นับเป็นการลงทุนนอกธุรกิจโรงแรมเป็นครั้งแรกของดุสิตธานี และเป็นการขับเคลื่อนการลงทุนต่อเนื่องจากโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสม (Mixed-use Project) ซึ่งเป็นการตอกย้ำกลยุทธ์ทั้ง 3 ด้านของดุสิตธานีที่วางไว้ นั่นคือ การขยายการเติบโต การกระจายความเสี่ยง และสร้างความสมดุล เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับบริษัทฯ ในระยะยาว
"เรามองเห็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจอาหาร ซึ่งจะช่วยสนับสนุนและเอื้อกับธุรกิจที่มีอยู่ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี เพราะดุสิตธานีมีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญในด้านนี้อยู่แล้ว เรามุ่งหวังว่าการเข้าลงทุนในบริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ ของดุสิต ฟู้ดส์ นอกจากจะสร้างรายได้เพิ่มเติมในอนาคตให้กับดุสิตธานีแล้ว ยังสามารถต่อยอดในการผลิตสินค้าและอาหารที่ได้คุณภาพและมาตรฐานภายใต้แบรนด์ดุสิตให้ออกสู่ตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยอาจจะดำเนินการพัฒนาแบรนด์ร่วมกันระหว่างดุสิต ฟู้ดส์และ NRIP ในอนาคต"ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม DTC กล่าว
นางศุภจี กล่าวด้วยว่า การลงทุนดังกล่าวจะทำให้พอร์ตการลงทุนของ DTC แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งเป็นไปตามแผนการดำเนินงานระยะยาวของบริษัทฯ ที่กำหนดไว้ 5 แนวทาง ได้แก่ 1.บริหารจัดการทรัพย์สินที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมเมื่อเปรียบเทียบกับตลาด 2.ขยายฐานธุรกิจด้านการรับบริหารโรงแรมทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มรายได้ 3.แสวงหาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเพื่อกระจายความเสี่ยง 4.ขยายฐานลูกค้าและสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ "ดุสิตธานี" เพื่อให้เป็นที่รู้จักและเป็นที่จดจำ รวมทั้งขยายช่องทางการตลาด และ 5. เสริมสร้างทีมงานบริหารและปฏิบัติการให้มีความเข้มแข็งเพื่อรองรับแผนการขยายธุรกิจ
สำหรับผลการดำเนินงานปี 60 บริษัทฯ มีรายได้รวม 5,570 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7% และกำไรสุทธิ 267 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 134% จากปีก่อน