บมจ.ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (TLUXE) แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทอนุมัติให้จำหน่ายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal Energy) ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณที่ใกล้เคียงกันที่โออาซาทซึรูมิ เบบปุ จังหวัดโออิตะ ในประเทศญี่ปุ่น และเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วรวม 15 โครงการ ราคาซื้อขายประมาณ 320 ล้านเยนต่อ 1 โครงการ หรือประมาณ 91.71 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่ต่ากว่า 4,800 ล้านเยน หรือ 1,375.69 ล้านบาท
บริษัทจะจำหน่ายโครงการทั้งหมดให้แก่กลุ่มกองทุนญี่ปุ่น (ReEnergy All Japan Fund) โดยมีกลุ่ม Relocation เป็น Lead Investor โดยได้ตั้งกองทุนขึ้นจากกลุ่มนักลงทุน Tokumei Kumiai ซึ่งมีทาง Dogan และ Nomura Securities Japan เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Advisor) ซึ่งบริษัทอาจพิจารณาจำหน่ายโครงการโรงไฟฟ้าในรูปแบบการจำหน่ายหุ้นในบริษัทย่อยของบริษัท ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการโรงไฟฟ้าหรือ จำหน่ายทรัพย์สินของโครงการโรงไฟฟ้า ในราคาซื้อขายสุดท้ายที่บริษัทและผู้ซื้อจะตกลงร่วมกัน คาดว่าธุรกรรมการจำหน่ายโครงการโรงไฟฟ้าจะมีขึ้นภายในเดือน ก.ค.61
ทั้งนี้ โครงการโรงไฟฟ้า 15 โครงการดังกล่าวอยู่ภายใต้การดำเนินการของบริษัท 8 บริษัท ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายของประเทศญี่ปุ่น มีขนาดกำลังการผลิต 125 กิโลวัตต์ ต่อ 1 โครงการ คิดเป็นกำลังการผลิต รวม 1,875 กิโลวัตต์
การจำหน่ายโรงไฟฟ้าครั้งนี้จะทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้ทันที และมีกระแสเงินสดที่สามารถนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และ/หรือ เพื่อลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพทั้งในและต่างประเทศได้ ซึ่งรวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าอื่น ๆ ในปัจจุบันของบริษัท ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพอื่น ๆ ในประเทศญี่ปุ่น อีกจำนวน 15 โครงการที่ยังมิได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ และโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศญี่ปุ่น อีกจำนวน 27 โครงการ ขณะเดียวกันบริษัทจะมีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอเพื่อรองรับการดำเนินงานทางธุรกิจของบริษัทในอนาคต รวมทั้งมูลค่าสิ่งตอบแทนที่บริษัทจะได้รับนั้นมีจำนวนสูงกว่าทั้งต้นทุนเพื่อการได้มาซึ่งสินทรัพย์ที่จะจำหน่ายและมูลค่ารวมทางบัญชีของสินทรัพย์ที่จะจำหน่าย
พร้อมกันนั้น คณะกรรมการบริษัท TLUXE ยังอนุมัติให้เข้าทำธุรกรรมการร่วมลงทุนกับบริษัท ริช พาร์ทเนอร์ส จำกัด ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทผสมผสาน (Mixed Use) ภายใต้โครงการชื่อ อาคารริเวอร์ไซด์ ตั้งอยู่ที่เมืองดานัง ประเทศเวียดนาม โดยจะมีการพัฒนาโครงการภายใต้ บริษัท ซัน ฟรอนเทียร์ อินเวสท์เม้นท์ จำกัด ซึ่งจัดตั้งขึ้นในเวียดนาม ซึ่ง TLUXE จะร่วมลงทุนในโครงการเป็นเงินจำนวนไม่เกิน 3,100 ล้านเยน หรือ 911.83 ล้านบาท
บริษัทจะมีสิทธิในการจำหน่าย และได้รับผลตอบแทนทั้งหมดจากการจำหน่ายห้องชุดพักอาศัยของโครงการริเวอร์โซด์ คิดเป็นพื้นที่รวมประมาณไม่ต่ำกว่า 50% ของพื้นที่ส่วนพักอาศัยทั้งหมด และยังมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนการร่วมลงทุนเพิ่มเติมจากผู้ร่วมทุนในอัตรา 6% ต่อปี ซึ่งบริษัท และ ริช พาร์ทเนอร์ส อยู่ในระหว่างเจรจาและจะลงนามในสัญญาภายในเดือน ก.ค.61
ทั้งนี้ โครงการริเวอร์ไซด์เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทผสมผสาน (Mixed Use) ซึ่งภายในโครงการ จะประกอบไปด้วยห้องชุดพักอาศัย โรงแรม ร้านค้าและสิ่งอานวยความสะดวกอื่น ๆ มูลค่าโครงการประมาณ 644,858,557,284 ดองเวียดนาม หรือ 911.83 ล้านบาท คาดว่าโครงการดังกล่าวจะดึงดูดความสนใจของกลุ่มลูกค้าได้อย่างดี และจะสร้างผลตอบแทนในระดับที่เหมาะสมให้แก่บริษัท โดยคาดว่าบริษัทจะได้กำไรจากการจำหน่ายห้องชุดของโครงการประมาณ 20-30% ของจำนวนเงินลงทุนทั้งหมดภายใต้สมมติฐานทยอยรับรู้รายได้จากโครงการริเวอร์ไซด์ภายในระยะเวลา 2-2.5 ปี และอัตราดอกเบี้ยใช้จ่ายทางการเงินขึ้นอยู่กับแหล่งเงินทุน ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
บริษัทคาดว่าการลงทุนในโครงการริเวอร์ไซด์ดังกล่าวจะสร้างความหลากหลายในเชิงรูปแบบการลงทุนและประเภทธุรกิจที่ลงทุนของบริษัทฯอันจะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับบริษัทในอนาคต สำหรับแหล่งเงินลงทุนในโครงการนี้จะมาจากการขอรับการสนับสนุนวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงิน และ/หรือการออกตราสารหนี้
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท TLUXE ยังอนุมัติปรับโครงสร้างกิจการโดยการโอนกิจการบางส่วน ซึ่งได้แก่ กิจการผลิตอาหารสัตว์น้ำ ได้แก่ สายการผลิตอาหารกุ้ง และอาหารปลา และการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง (FOOD) ทรัพย์สินและหนี้สินทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง และที่ใช้ในการประกอบธุรกิจดังกล่าว สัญญาใบอนุญาตและบัตรส่งเสริมการลงทุนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจดังกล่าวทั้งหมด ให้แก่บริษัทย่อยที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ โดยบริษัทจะถือหุ้นในสัดส่วน 100% คาดว่ากระบวนการโอนจะเริ่มและดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ภายในปี 61 มูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่จะโอนทั้งหมดคาดว่าน่าจะมีมูลค่าประมาณ 583.64 ล้านบาท
การโอนกิจการบางส่วนให้แก่บริษัทย่อยดังกล่าวเป็นการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจของบริษัท จึงไม่มีผลกระทบที่มีนัยสำคัญต่อทรัพย์สินรวมของกลุ่มบริษัทแต่อย่างใด ภายหลังการโอนกิจการ TLUXE จะยังคงสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และดำเนินธุรกิจจำหน่ายอาหารสัตว์ และสินค้า ประเภทอื่น ๆ และการลงทุนในธุรกิจพลังงานผ่านบริษัทย่อย และ/หรือบริษัทร่วมต่าง ๆ รวมถึงการประกอบ และ/หรือ ลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ ที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้และกำไรเพื่อสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นต่อไป
ทั้งนี้ บริษัทกำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2561 ในวันที่ 16 ก.ค.61 เพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าว
นายสุวิทย์ วรรณะศิริสุข กรรมการบริหาร และผู้อำนวยการสายบัญชีและการเงิน ของ TLUXE กล่าวว่า การขายโครงการโรงไฟฟ้าในญี่ปุ่นจำนวน 15 โครงการดังกล่าว บริษัทจะได้รับเงินประมาณ 1,400 ล้านบาท และมีกำไรจากการขายครั้งนี้ ซึ่งคาดว่าจะรับรู้เข้ามาในผลการดำเนินงานภายในไตรมาส 3/61
สำหรับโครงการโรงไฟฟ้า Geothermal ในส่วนที่เหลือ บริษัทยังคงดำเนินการตามแผน และทยอยจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้หากบริษัทสามารถ COD โรงไฟฟ้า Geothermal ครบตามแผนที่กำหนด จะส่งผลให้ภายในปีนี้ TLUXE รับรู้รายได้ จากการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าให้กับ Kyushu Electric เข้ามาอย่างต่อเนื่องแน่นอน
ทั้งนี้ TLUXE ได้รับสิทธิในการลงทุนโรงไฟฟ้า Geothermal เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้กับ Kyushu Electric ในราคาหน่วยละ 43 เยน ต่อกิโลวัตต์ ในรูปแบบ FiT เป็นเวลา 15 ปี ทั้งหมดจำนวน 46 โครงการ หรือเทียบเท่ากับ 46 เมกะวัตต์ พลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งในช่วงก่อนหน้านี้ คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติงบประมาณลงทุนไปแล้ว ทั้งสิ้น 32 โครงการ จาก 46 โครงการ แม้ว่าล่าสุดจะมีมติขายโรงไฟฟ้า Geothermal จำนวน 15 โครงการ ให้กับกลุ่มทุนญี่ปุ่น แต่ก็เป็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น เพราะในส่วนที่เหลืออีก 31 โครงการ บริษัทยังสามารถรับรู้รายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
"การขายโครงการโรงไฟฟ้า Geothermal ไม่กระทบต่อผลการดำเนินของบริษัทอย่างแน่นอน เพราะสัดส่วนรายได้จากธุรกิจพลังงานดังกล่าวในปัจจุบันถือได้ว่ายังมีมูลค่าน้อยกว่า เมื่อเทียบกับรายได้ที่มาจากการดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำ สัตว์เลี้ยง ที่เป็นรายได้หลัก และเป็นตัวขับเคลื่อนผลการดำเนินงานของบริษัทในปัจจุบัน"นายสุวิทย์ กล่าว
นายสุวิทย์ กล่าวอีกว่า ส่วนการเข้าลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเวียดนามนั้น บริษัทได้เข้าไปร่วมลงทุนกับพันธมิตรชาวญี่ปุ่นที่ได้ Connection ต่อยอดจากธุรกิจด้านพลังงานในประเทศญี่ปุ่น เพื่อเข้าไปร่วมลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทห้องชุดพักอาศัย หรือ คอนโดมิเนียมในทำเลที่ดีที่สุดติดแม่น้ำใจกลางเมืองดานัง ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 3,100 ล้านเยน หรือประมาณ 900 ล้านบาท
ขณะที่คาดว่าจะได้ผลตอบแทนจากการร่วมลงทุนไม่ต่ำกว่า 230 ล้านบาท ซึ่งสามารถรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 61-62 โดยการเข้าไปลงทุนในครั้งนี้ บริษัทเล็งเห็นโอกาสการเติบโต และการสร้างผลตอบแทนที่สูง เนื่องจากประเทศเวียดนาม โดยเฉพาะเมืองดานัง ได้ถูกจัดให้เป็นดาวเด่นของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคเอเชีย ที่มีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพมากที่สุดประเทศหนึ่ง ในขณะเดียวกันความต้องการของตลาดด้านที่อยู่อาศัยเอง ก็มีอัตราที่สูงขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร และกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยว ที่สนใจซื้อที่พักอาศัยเพื่อการพักผ่อน