นายสมพร ว่องวุฒิพรชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปตท.สารวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) หรือ ปตท.สผ. แจ้งว่า ตามที่บริษัทฯ ได้รายงานเรื่อง การลงนามในสัญญาการโอนสิทธิสัมปทาน (Agreement for the Assignment and Transfer) เพื่อเข้าซื้อสัดส่วนการลงทุน 22.2222% ในโครงการบงกช ซึ่งได้แก่ แปลง B15 แปลง B16 และแปลง B17 จากบริษัท Shell Integrated Gas Thailand Pte. Limited (Shell) และแปลง G12/48 จากบริษัท Thai Energy Company Limited (บริษัทย่อยของ Shell) เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2561 นั้น
ปตท.สผ. แจ้งว่า ในวันที่ 21 มิถุนายน 2561 การดำเนินการตามเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ระบุไว้ใน สัญญาฯ ดังกล่าวเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว ส่งผลให้ ปตท.สผ. มีสัดส่วนการลงทุนในโครงการบงกชเพิ่มขึ้นจาก 44.4445% เป็น 66.6667% และเพิ่มปริมาณการขายปิโตรเลียมของบริษัทประมาณ 35,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน
นายสมพร กล่าวว่า การเข้าซื้อสัดส่วนการลงทุนในแหล่งบงกชเป็นไปตามกลยุทธ์ของ ปตท.สผ. ที่แสวงหาการลงทุนใหม่ โดยการเข้าซื้อกิจการ เพื่อรองรับการเติบโตและเพิ่มปริมาณสำรองปิโตรเลียมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยการเข้าซื้อครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มปริมาณการขายปิโตรเลียมเฉลี่ยให้กับ ปตท.สผ. ประมาณ 35,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันได้ทันที และที่สำคัญยังเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ ปตท.สผ. ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการในแหล่งก๊าซฯ บงกชในปัจจุบัน ที่มีความพร้อมในการเข้าร่วมประมูลเพื่อเป็นผู้ดำเนินการในแหล่งบงกชต่อไป
"ปตท.สผ. มีประสบการณ์และความชำนาญในการสำรวจและผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแหล่งบงกชซึ่งเราเป็นผู้ดำเนินการมากว่า 20 ปี และดำเนินงานโดยคนไทยเกือบ 100% เรามั่นใจว่าจะสามารถผลิตก๊าซธรรมชาติได้อย่างต่อเนื่องตามนโยบายของภาครัฐด้วยต้นทุนที่แข่งขันได้ และให้ผลประโยชน์กับประเทศได้มากกว่า จึงขอย้ำว่า ปตท.สผ. ซึ่งเป็นบริษัทไทยจะเข้าร่วมประมูลทั้งแหล่งบงกชและแหล่งเอราวัณ เพื่อสร้างความต่อเนื่องและความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศอย่างแน่นอน"
ทั้งนี้ นอกจากการเตรียมความพร้อมในการเข้าร่วมประมูลแหล่งบงกชและแหล่งเอราวัณแล้ว ปตท.สผ. ยังมุ่งแสวงหาการลงทุนใหม่ๆ จากการเข้าซื้อกิจการ โดยให้ความสำคัญกับการแสวงหาสินทรัพย์ที่ผลิตแล้วหรือที่กำลังเริ่มผลิตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกลาง ตามแผนกลยุทธ์ของบริษัท