บมจ.เอ็นพีพีจี (ประเทศไทย) (NPP) แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวานนี้ (16 ก.ค.) อนุมัติในหลักการให้บริษัทเข้าร่วมลงทุนกับบริษัทในเครือ Kinghill Overseas Holdings Limited ซึ่งเป็นนิติบุคคลจดทะเบียนในสาธารณรัฐประชาชนจีน ตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อ คิงฮิวล์ ฟู้ด (Kinghill Food) เป็นนิติบุคคลซึ่งจะจดทะเบียนจัดตั้งที่เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ (Franchise) ร้านอาหารในสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมถึงการให้สิทธิในการใช้แฟรนไชส์ร้านอาหาร
บริษัทร่วมทุนมีทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 1 ล้านหยวน หรือราว 5.03 ล้านบาท โดยบริษัทถือหุ้น 49% และบริษัทในเครือ Kinghill Overseas Holdings Limited ถือหุ้น 51% ซึ่งการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน และรายละเอียดอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับผลการเจรจากับบริษัทในเครือ Kinghill Overseas Holdings Limited และเงื่อนไขทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าขั้นตอนต่าง ๆ จะดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ภายในไตรมาส 3/61
สำหรับเงินลงทุนครั้งนี้ จะมาจากเงินที่ได้รับจากผู้ถือหุ้นเดิมตามมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 6 ก.พ.60 ที่ได้รับอนุมัติไว้สำหรับลงทุนในธุรกิจใหม่ในวงเงิน 70 ล้านบาท มาลงทุนจำนวนประมาณ 2.5 ล้านบาท ซึ่งไม่กระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทแต่อย่างใด ขณะที่การร่วมลงทุนครั้งนี้จะสามารถต่อยอดธุรกิจกลุ่มอาหารของบริษัท รวมถึงเป็นการเพิ่มฐานลูกค้าและคู่ค้าทางธุรกิจในประเทศจีน
นายศุภจักร ไตรรัตโนภาส ประธานกรรมการบริหาร NPP เปิดเผยว่า การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัทในเครือ Kinghill Overseas Holdings Limited ซึ่งเป็นบริษัทลูกในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ในประเทศจีน ภายใต้ชื่อ "Kinghill Food" เพื่อดำเนินธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีนนั้น ทาง Kinghill Overseas Holdings Limited เล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จากการร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัทในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพการขยายร้านอาหารต่าง ๆ รวมถึงการพัฒนาร้านอาหารในประเทศจีนมากขึ้น
สำหรับวัตถุประสงค์ความร่วมมือในครั้งนี้ เพื่อนำแบรนด์ร้านอาหารชั้นนำ อาทิ อาหารไทย อาหารทะเล ทั้งในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจำหน่ายในร้านอาหารในประเทศจีน ซึ่งสอดคล้องกับแผนการขยายแฟรนไชส์ไปทั่วประเทศจีนอีกด้วย โดยเบื้องต้นจะเปิดให้บริการสาขาแรกที่เซี่ยงไฮ้ ภายในไตรมาส 4/61 และคาดว่าจะเปิดสาขาเพิ่มที่ปักกิ่ง , เฉิงตู ,ฉงชิ่ง ,เซินเจิ้น ตามลำดับ ขณะที่มูลค่าการตลาดและธุรกิจอาหารในประเทศจีน มีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ย 20-30% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพฤติกรรมผู้บริโภคในจีน ที่มีการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น
บริษัทในเครือ Kinghill Overseas Holdings Limited เป็นผู้ประกอบด้านธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ และช็อปปิ้งมอลล์ รายใหญ่สุดของประเทศจีน ซึ่งการร่วมทุนในครั้งนี้จะเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัท จากจำนวนประชาการของจีนที่มีสูงถึง 1,400 ล้านคน ในการต่อยอดธุรกิจอาหาร โดยเฉพาะ Franchise model ในประเทศจีนให้เป็นไปตามนโยบายของบริษัทต่อไป
ทั้งนี้ บริษัทยังเล็งเห็นว่า กลุ่มซีพีเป็นบริษัทชั้นนำที่มีความแข็งแกร่ง และมีการลงทุนไปทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศจีน เป็นหนึ่งในประเทศที่กลุ่มซีพี ใช้เป็นฐานธุรกิจกว่า 30 ปีที่ผ่านมา โดยซีพีมีการลงทุนที่หลากหลายทั้งธุรกิจอาหารตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ในหัวเมืองต่าง ๆ ของจีน เช่น เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง ลั่วหยาง ซีอาน เจิ้งโจว เหอเฟย์ อู๋ซี และยังคงขยายสู่เมืองอื่น ๆ ภายใต้แบรนด์ Super Brand Mall และ Touch Mall ซึ่งจัดเป็นกลุ่มพันธ์มิตรที่มีฐานธุรกิจครบวงจรที่เสริมความแข็งให้กับบริษัทในอนาคต
"การร่วมมือกับบริษัทใน กลุ่มซีพีจี ครั้งนี้ ทาง NPP เป็นบริษัทไทยรายแรก ที่ผนึกกำลังการร่วมทุนในรูปแบบดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทเป็นอย่างมาก เพราะกลุ่มธุรกิจซีพี เป็นบริษัทผู้นำด้านธุรกิจอาหารในประเทศจีน ประกอบกับยังเป็นผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ ในการจัดส่งอาหารไปยังร้านอาหารต่างประเทศในประเทศจีนเกือบทั้งหมด และยังมีพันธมิตรที่แข็งแกร่ง อาทิ China Cuisine Association และ China Hospitality Association ซึ่งเป็นผู้ประกอบการร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดของจีน ดังนั้น จึงมองว่าการขยายตลาดในครั้งนี้จะส่งผลบวกกับ NPP และปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาร้านอาหารชั้นนำของไทยทั้งอาหารไทย อาหารทะเล และอาหารอื่นๆอีกหลายร้าน คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้"นายศุภจักร กล่าว
นายศุภจักร กล่าวอีกว่า จากแผนการพัฒนาแบบเชิงรุกในธุรกิจอาหารครั้งนี้ ทำให้เชื่อมั่นว่า ภายใน 2-3 ปีข้างหน้าธุรกิจอาหารขอ บริษัทจะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 3-4 เท่าตัว จากปัจจุบันที่มีรายได้ 600-700 ล้านบาท เนื่องจากมีการขยาย Franchise model ไม่ต่ำกว่า 10 แบรนด์ โดยในแต่ละแบรนด์มีแผนที่จะเปิดสาขาไม่น้อยกว่า 50 สาขาต่อแบรนด์ ดังนั้น การร่วมมือกับกลุ่มซีพีประเทศจีนครั้งนี้ จะยิ่งตอกย้ำการเปิดร้านอาหารที่จะทยอยเปิดได้ตั้งแต่ปลายปีนี้ได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต
นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนใน 4-5 ปีข้างหน้า จะผลักดันบริษัทดังกล่าว และบริษัทย่อยในประเทศจีนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง