บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) แจ้งว่าบริษัทได้ปรับเพิ่มเป้าหมายกำไรหลักก่อนหักดอกเบี้ย ,ภาษีเงินได้ , ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (Core EBITDA) สำหรับปี 62 เพิ่มขึ้น 74% จากปี 60 มาที่ 1.75 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากเมื่อช่วงต้นปี 61 ได้ประมาณการว่า core EBITDA ในปี 62 จะเพิ่มขึ้น 45% จากปี 60 เนื่องจากพื้นฐานอุตสากรรมที่แข็งแกร่ง และการเติบโตของกำไรมีความชัดเจน
ประกอบกับสภาวะอุตสาหกรรมในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปมาก บริษัทเชื่อว่าจะมีส่วนช่วยในการเพิ่มผลประกอบการจากที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า อย่างมีสาระสำคัญจากผลประกอบการไตรมาสที่ 1/61 ที่แข็งแกร่งและผลประกอบการในไตรมาสที่ 2/61 ที่เพิ่มขึ้นบริษัทจึงปรับเพิ่มประมาณการณ์เพื่อสะท้อนถึงอัตรากำไรสำหรับรอบ 12 เดือนสิ้นสุดไตรมาสที่ 2/61 ขณะที่สภาวะอุปสงค์และอุปทานที่ปรับตัวดีขึ้นรวมไปถึงโครงการประกาศเข้าซื้อกิจการถึงปัจจุบันยังช่วยหนุนผลการดำเนินงานด้วย
ทั้งนี้ คาดว่าผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งขึ้นมาจากความแข็งแกร่งในช่วงครึ่งแรกของปี 61 ช่วยสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มความชัดเจนมากขึ้น โดยในครึ่งแรกของปีนี้ ทั้งปริมาณการผลิตและอัตรากำไรเพิ่มขึ้นในทุกส่วนธุรกิจและส่วนภูมิภาค ผลการดำเนินงานนี้เป็นผลมาจากกลยุทธ์การลงทุนระยะยาวของบริษัท การควบรวมภายในกับกิจการที่เข้าซื้อผลกำไรที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นของผลิตภัณฑ์ Necessities ที่มีปริมาณการผลิตสูง และผลิตภัณฑ์ HVA ที่มีอัตรากำไรที่สูงกว่าและค่อนข้างคงที่ บริษัทรายงานผลกำไรและกระแสเงินสดดีเป็นประวัติการณ์และคาดการณ์ว่าทิศทางเดียวกันนี้จะยังคงดำเนินต่อไปในไตรมาสที่กำลังจะมาถึงในปี 61 และปี 62
บริษัทมีกำลังการผลิต PET เพิ่มขึ้น 1.1 ล้านตันจากการเข้าซื้อโรงงานในประเทศบราซิลและอียิปต์ และกำลังการผลิต PTA เพิ่มขึ้นอีก 1.1 ล้านตันจากการขยายโรงงานในเมือง Rotterdam และการเข้าซื้อ Artlant PTA ในประเทศโปรตุเกส ทั้งหมดนี้จะช่วยเพิ่มผลกำไรให้แก่บริษัท สัดส่วนผลิตภัณฑ์ HVA ของบริษัทเพิ่มมากขึ้นจากการเข้าซื้อทางกลยุทธ์ในธุรกิจยานยนต์ (Kordarna) และธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัย (Avgol) โดยคาดว่าจะเสร็จสิ้นการเข้าซื้อในไตรมาสที่ 3/61 ซึ่งจะเห็นผลกำไรเต็มปีในปี 62 อัตรากาไรของ integrated EOEG ในประเทศสหรัฐอเมริกายังคงแข็งแกร่ง อีกทั้งการสูญเสียอัตรากำไรจากการเริ่มดำเนินงานล่าช้าของโรงงาน US Gas Cracker (เริ่มดาเนินงานในไตรมาสที่ 4/61) ถูกทดแทนโดยอัตรากำไรของ EOEG บนราคาตลาดของเอทิลีนในประเทศสหรัฐอเมริกา
บริษัทคาดการณ์ว่าในปี 62 จะมีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น 3.9 ล้านตัน รวมเป็น 13.0 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้น 43% เมื่อเทียบกับปี 60 โดยปริมาณการผลิตนี้ไม่รวมโครงการร่วมทุนผลิต PTA-PET Corpus Christi และโครงการผลิตฟิล์ม Dupont Teijin ซึ่งอยู่ในระหว่างการรออนุมัติจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/61 บริษัทมี Core EBITDA เติบโตขึ้น 63% เมื่อเทียบปีต่อปี เป็น 388 ล้านเหรียญสหรัฐ Core EBITDA ต่อตันของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 153 เหรียญสหรัฐ ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่เสนอขายหุ้นแก่ประชาชนครั้งแรก ผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นนี้ถูกขับเคลื่อนโดยการควบรวมห่วงโซ่มูลค่าโพลีเอสเตอร์ในระดับโลก และผลิตภัณฑ์ HVA อีกทั้งการเริ่มฟื้นตัวของผลกeไรในกลุ่มธุรกิจ Necessities ที่มีปริมาณการผลิตสูง
ทั้งนี้ ในไตรมาส 2/61 บริษัทมีกำไรสุทธิ 8.24 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2.94 พันล้านบาท ส่งผลให้ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้บริษัทมีกำไรสุทธิ 1.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระดับกำไรสุทธิ 7.36 พันล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน