บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) เผยผลกำไรสุทธิในไตรมาส 2/61 อยู่ที่ 9.64 ล้านบาท ลดลงราว 99% จากระดับกำไรสุทธิ 1.42 พันล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังบริษัท Chicken of the Sea ได้บรรลุถึงข้อตกลงชำระค่าชดเชยกับร้านค้าปลีก Walmart ภายใต้คดีต่อต้านการผูกขาด (Antitrust) และคดีอื่น ๆ โดยบริษัท Chicken of the Sea ได้มีการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายพิเศษทางกฎหมายคิดเป็นมูลค่า 44 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นมูลค่าที่สะท้อนความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับคดีนี้ และค่าใช้จ่ายดังกล่าวนั้นเป็นค่าใช้จ่ายซึ่งไม่เกี่ยวเนื่องกับการดำเนินงานปกติของบริษัท
อย่างไรก็ตามในส่วนของผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/61 บริษัทมียอดขาย 3.41 หมื่นล้านบาท ลดลง 2% จากไตรมาส 2/60 เป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น 7% เมื่อเทียบกับงวดปีก่อน ซึ่งบริษัทสามารถเจรจาปรับราคาขายสินค้าอาหารทะเลแปรรูปเพื่อสะท้อนราคาวัตถุดิบ และยังสามารถขายสินค้ากลุ่มอาหารทะเลแช่เย็นและแช่แข็งได้ในปริมาณที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย
โดยหากแยกผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนออก ยอดขายจะทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปรับตัวลดลงเพียง 0.1% ทำให้ยอดขายในช่วงครึ่งแรกของปี 61 อยู่ที่ 6.38 หมื่นล้านบาท ลดลง 3.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า หรือลดลง 1.5% หากแยกผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน
สำหรับกำไรขั้นต้นในไตรมาส 2/61 อยู่ที่ 4.71 พันล้านบาท ลดลง 5% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/61 เพิ่มขึ้น 40.1% เนื่องจากการเจรจาปรับราคาสินค้าเพื่อสะท้อนต้นทุนของราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น ราคาวัตถุดิบมีเสถียรภาพมากขึ้น และการฟื้นตัวของธุรกิจล็อบสเตอร์ อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาสที่ 2/61 อยู่ที่ 13.8% เพิ่มขึ้น 2.48% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 1/61 แต่เนื่องจากปัจจัยค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรดังกล่าวลดลง 0.44% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/60 ที่อยู่ระดับ 14.2%
กำไรขั้นต้นในช่วงครึ่งแรกของปี 61 อยู่ที่ 8.07 พันล้านบาท ลดลง 15.1% จากช่วงครึ่งแรกของปี 60 โดยมีสาเหตุหลักมาจากความผันผวนราคาวัตถุดิบและการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท เมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ บริษัทรายงานกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส 2/61 ที่ 1.14 พันล้านบาท ลดลง 30.2% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ปรับเพิ่มขึ้นถึงกว่า 45 เท่า เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า การฟื้นตัวมาจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น และการควบคุมต้นทุนอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารายได้ในรูปสกุลเงินบาทจะลดลง 2% เมื่อเทียบกับงวดปีก่อนหน้า อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ต่อยอดขายในไตรมาส 2/61 ยังคงอยู่ที่ระดับ 10.4% ซึ่งสูงกว่าระดับเป้าหมายที่ 10% เพียงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามการที่บริษัทมีกำไรที่ปรับตัวดีขึ้น การบริหารจัดการความเสี่ยงจากค่าเงินบาท และเงินสินไหมทดแทนรับจากบริษัทในเครือ ส่งผลให้กำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติสำหรับในไตรมาส 2/61 อยู่ที่ 1.37 พันล้านบาท ลดลง 3.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 57.5% จากไตรมาส 1/61
ขณะที่การควบคุมสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ และผลประกอบการที่ปรับดีขึ้น กระแสเงินสดของบริษัทจึงสูงถึง 3.79 พันล้านบาท ในไตรมาส 2/61 บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลได้ที่ 0.25 บาท/หุ้น โดยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ที่ระดับ 1.41 เท่า ซึ่งยังคงต่ำกว่าระดับข้อกำหนดทางการเงินของบริษัท(bond covenant) ที่ระดับ 2.0 เท่า