บมจ.เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป (NMG) แจ้งว่าเมื่อวานนี้ (28 ส.ค.) บริษัทได้ลงนามสัญญาขายหุ้นทั้งหมดจำนวนร้อยละ 99.99996 ในบริษัท เอ็นเอ็มแอล จำกัด (NML) บริษัทย่อยของบริษัท ซึ่งถือใบอนุญาตและประกอบธุรกิจขนส่ง ให้กับบริษัท เอสพีพี อินเทลลิเจนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บมจ.ซิงเกิ้ล พอยท์ พาร์ท (ประเทศไทย) (SPPT) คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 9 ล้านบาท ซึ่งภายหลังการจำหน่ายเงินลงทุนทั้งหมดใน NML ในครั้งนี้จะส่งผลให้ NML สิ้นสภาพการเป็นบริษัทย่อยของบริษัท
สำหรับการขายหุ้นทั้งหมดใน NML เนื่องจากบริษัทประสบสภาวะขาดสภาพคล่องทางการเงินและกระแสเงินสดเพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจ เพราะมีผลการดำเนินงานขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงพิจารณาปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ณ ปัจจุบัน รวมถึงสภาวะอุตสาหกรรมช่วงขาลงของธุรกิจต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักของบริษัท คือ ธุรกิจขนส่ง
ดังนั้น ภายหลังบริษัทดำเนินการจำหน่ายเงินลงทุนใน NML แล้ว บริษัทจะดำเนินการตามกลยุทธ์และนโยบายที่มุ่งเน้นดำเนินการธุรกิจหลักที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ คือ ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ และธุรกิจผลิตสื่อโทรทัศน์และเนื้อหาข่าวสาร ซึ่งการจำหน่ายสินทรัพย์รายการซึ่งไม่ใช่ธุรกิจหลักของบริษัท จึงไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท อีกทั้งยังจะช่วยลดภาระหนี้สินทำให้สามารถชำระเงินได้ตามกำหนดเวลา และดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงจากการบริหารโครงสร้างเงินทุน ทำให้มีเงินหมุนเวียนรองรับความต้องการใช้กระแสเงินสดของบริษัทได้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะได้รับชำระราคาค่าสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจากคู่สัญญาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องไม่เกินวันที่ 14 ก.ย.61 และสำหรับเงื่อนไขเกี่ยวกับการชำระหนี้ที่ NML มีต่อบริษัทนั้น บริษัท และ NML จะเข้าทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ภายในวันที่ 28 ส.ค.61 ซึ่งกำหนดเงื่อนไขให้ NML ชำระหนี้เป็นงวด ๆ โดยงวดสุดท้ายภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนธ.ค.61
ด้าน SPPT แจ้งว่าบริษัทได้ทำการตรวจสอบสถานะของ NML จนเป็นที่น่าพอใจ (Due diligence) รวมถึงเจรจาตกลงราคาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จนนำมาสู่การเข้าซื้อกิจการดังกล่าว โดย NML ดำเนินธุรกิจขนส่ง (Logistic) ประเภทสื่อสิ่งพิมพ์ ให้แก่ลูกค้าในเครือของ NMG รวมถึงขนส่งสินค้าให้แก่ลูกค้ารายอื่น ๆ ซึ่งการลงทุนครั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างรายได้เพิ่มเติมและนำมาต่อยอดธุรกิจของบริษัท
สำหรับผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ คือกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ โดยมีเงื่อนไขหลังจากการเข้าซื้อกิจการ NML แล้ว จะเข้าทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้กับ NMG โดยการลดหนี้ให้กับ NML ตามยอดที่ปรากฏในงบการเงิน ณ วันที่มีการซื้อขายหุ้นเสร็จสมบูรณ์ ให้เหลือเป็นจำนวน 50 ล้านบาท และให้ NML ผ่อนชำระหนี้ให้แก่ NMG เป็นระยะเวลา 5 เดือน ชำระเดือนละ 2 ล้านบาท โดย NMG จะลดหนี้ให้อีก 8 ล้านบาท รวมเป็น 10 ล้านบาท/เดือน นอกจากนั้นบริษัทยังจะนำธุรกิจขนส่งจาก NML มาพัฒนาต่อยอดร่วมกับแพลทฟอร์มโลจิสติกส์ (Sky Frog) ที่บริษัทมีอยู่แล้ว เพื่อมุ่งสู่ E-Logistics ต่อไป
นายปกรณ์ อาภาพันธุ์ ประธานกรรมการ SPPT กล่าวว่า บริษัทตัดสินใจเข้าซื้อกิจการของ NML เพื่อเป็นการสร้างรายได้เพิ่มเติม และนำมาต่อยอดธุรกิจ หลังจากบริษัทได้เข้าซื้อบริษัท ไซแมท ซอฟท์ จำกัด (SSOFT) ผู้นำและผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาซอฟท์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับระบบโลจิสติกส์และบริหารการจัดส่งสินค้า ภายใต้ชื่อ Sky Frog
โดยจากนี้ไปบริษัทเดินหน้าพัฒนาเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในการพัฒนาซอฟต์แวร์ แพลทฟอร์ม ด้านโลจิสติกส์ และฟินเทค ซึ่งมั่นใจว่า จะสามารถช่วยสนับสนุนการขยายฐานรายได้เพิ่มขึ้น เพราะนอกจาก บริษัทจะมีลูกค้าประจำของ NML แล้ว ยังมีลูกค้าใหม่เพิ่มจากการต่อยอดพัฒนาระบบใหม่ในอนาคต
"ปัจจุบัน NML เป็นผู้ดูแลงานด้าน Logistics ของกลุ่มเนชั่นกรุ๊ปทั้งหมด นอกจากนี้ยังให้บริการด้าน Logistics กับลูกค้าภายนอกรวมกว่า 50 บริษัท และมีแนวโน้มการเติบโตในด้านรายได้อย่างต่อเนื่อง"นายปกรณ์ กล่าว
ทั้งนี้ SSPT ได้ขยายการลงทุน โดยได้จัดตั้ง 2 บริษัทย่อย คือ 1.บริษัท เอสพีพี อินเทลลิเจนซ์ ดำเนินธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์ เพื่อให้บริการแพลทฟอร์มด้านโลจิสติกส์ รวมทั้งเป็นตัวกลางในการบริหารจัดการระบบโลจิสติกส์ขนาดใหญ่ ให้กับผู้ประกอบการด้านขนส่ง และ 2.บริษัท เอสพีพี ฟินเทค จำกัด ดำเนินธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อให้บริการแพลทฟอร์ม ด้าน FinTech สำหรับให้บริการทางการเงินครบวงจร รองรับความต้องการของผู้บริโภคในยุคดิจิทัลในอนาคต
นายปกรณ์ กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มผลประกอบการช่วงหลังปีนี้ น่าจะมีทิศทางที่ดีกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากบมจ.เทอร์ราไบท์ เน็ท โซลูชั่น (TERA) ซึ่ง SPPT เข้าซื้อกิจการ เมื่อปลายปี 60 ได้ขยายไลน์ธุรกิจจากการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มาสู่ธุรกิจวางระบบ และให้บริการด้านไอที ซึ่งจะเริ่มสร้างรายได้ให้กับบริษัท และแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้มั่นใจได้ว่า ภาพรวมธุรกิจในปีนี้จะเป็นปีที่บริษัทฟื้นตัวโดยคาดว่าผลประกอบการจะพลิกเป็นบวกได้อย่างแน่นอน โดยตั้งเป้าหมายรายได้ปี 61 แตะ 500 ล้านบาท