บมจ.ธีระมงคล อุตสาหกรรม (TMI) เผยบริษัท ธีระมงคล กรีน เอนเนอร์ยี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เข้าลงทุนซื้อหุ้นร้อยละ 100 ในบริษัท กรีน เซฟวิ่ง เอนเนอร์ยี่ ไทยแลนด์ จากัด ซึ่งดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ ขนาด 1.4 เมกะวัตต์ (MW) ในจ.สุราษฎร์ธานี มูลค่าราว 80 ล้านบาทแล้ว หลังตรวจสอบมูลค่าสินทรัพย์ (Due Diligence) เห็นว่าเหมาะสม โดยการลงทุนครั้งนี้จะช่วยต่อยอดธุรกิจ รวมทั้งเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจด้านพลังงาน เพื่อการเติบโตทางธุรกิจอย่างมั่นคงในอนาคต
ทั้งนี้ เมื่อวานนี้ (30 ส.ค.) การ Due Diligence เพื่อเข้าทำรายการซื้อหุ้นกิจการ บริษัท กรีน เซฟวิ่ง เอนเนอร์ยี่ ไทยแลนด์ จำกัด ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และบริษัทได้ทำการจ่ายชำระเงินค่าหุ้นทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยภายหลังจากการเข้าทำ Due Diligence ผู้ขายได้เสนอส่วนลดให้กับทางบริษัท เป็นจำนวน 5 ล้านบาท ทำให้จำนวนเงินลดลงเหลือราว 80 ล้านบาท จากเดิมที่ราว 85 ล้านบาท
สำหรับแหล่งเงินลงทุนครั้งนี้ มาจากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทย่อย จำนวน 5 ล้านบาท และเงินกู้ยืมจากบริษัทราว 75 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาเงินกู้ 10 ปี สำหรับเงื่อนไข การกู้ยืนเงิน อยู่ระหว่างการพิจารณาร่วมกันระหว่างบริษัท และบริษัทย่อย
โรงไฟฟ้าของกรีน เซฟวิ่งฯ มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ซึ่งเป็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ในระบบ Feed-in Tariff โดยมีราคาขายไฟฟ้า Feed-in Tariff (Fix) ที่ 3.76 บาท/หน่วย และ Feed-in Tariff (Premium) ที่ 0.50 บาท/หน่วย รวมได้รับราคาขายไฟฟ้าทั้งสิ้น 4.26 บาท/หน่วย มีอายุสัญญา 20 ปี เริ่มต้นตั้งแต่ 20 เมษายน 2558 และจะสิ้นสุดในวันที่ 19 เมษายน 2578 และดำเนินการผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มาตั้งแต่ เมษายน 2558 จนถึงปัจจุบัน โดยสัญญาซื้อขายไฟฟ้า สิ้นสุด ณ วันที่ 19 เมษายน 2578 (เหลืออายุสัญญา 17 ปีโดยประมาณ)
สำหรับการลงทุนครั้งนี้จะเป็นการขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียน เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทไม่เคยทำธุรกิจด้านโรงไฟฟ้ามาก่อน การเข้าซื้อหุ้นเพื่อลงทุนในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทสามารถเพิ่มไลน์ธุรกิจโรงไฟฟ้าขึ้นมาอีกหนึ่งประเภทนอกเหนือจากธุรกิจไฟฟ้าแสงสว่างที่ดำเนินการอยู่ นอกเหนือจากนี้ยังจะทำให้บริษัทสามารถเรียนรู้และต่อยอดธุรกิจโรงไฟฟ้า โดยเฉพาะบริษัท กรีน เซฟวิ่ง เอนเนอร์ยี่ ไทยแลนด์ จำกัด เป็นโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการอยู่แล้ว และมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง จึงเหมาะสมในการลงทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจ รวมทั้งเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจด้านพลังงาน