SUPER ยื่นไฟลิ่งจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานแล้ว เผยอยู่ระหว่างหารือแนวทางบันทึกบัญชีฯ ,คาดระดมทุนต้นปี 62

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 1, 2018 13:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานกรรมการ บมจ.ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น (SUPER) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการบริษัทอนุมัติให้จัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี (Super Energy Power Plant Infrastructure Fund :SUPEREIF) ขณะนี้ บล.บัวหลวง ในฐานะบริษัทจัดการกองทุนได้ยื่นคำขออนุมัติจัดตั้งกองทุน พร้อมกับร่างหนังสือชี้ชวนเสนอขายหน่วยลงทุน (ร่างหนังสือชี้ชวน) ของกองทุน SUPEREIF ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้วในวันนี้

สำหรับกองทุน SUPEREIF จะมีขนาดกองทุน 8,500-9,000 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถจัดตั้งกองทุนฯได้ภายในปลายเดือน ม.ค.-ต้น ก.พ. 62

ทั้งนี้ สินทรัพย์ที่จะขายเข้ากองทุน SUPEREIF จะมาจากสินทรัพย์ที่คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติก่อนหน้านี้ โดยให้บริษัท 17 อัญญวีร์ โฮลดิ้ง จำกัด (17AYH) และ บริษัท เฮลท์ แพลนเน็ท เมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (HPM) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ SUPER ทำรายการจำหน่ายสินทรัพย์ในโครงการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 19 โครงการ ขนาดกำลังการผลิต 118 เมกะวัตต์ ให้กับกองทุนฯ รวมทั้งคณะกรรมการยังได้อนุมัติให้บริษัทฯทำธุรกรรมซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนดังกล่าวได้ในสัดส่วน 15-20%

อย่างไรก็ดี การบันทึกบัญชีของบริษัท ในการเข้าทำธุรกรรมการจัดตั้งและการเข้าลงทุนในทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐาน โดย SUPEREIF (ธุรกรรมการโอนรายได้สุทธิ) ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาและหารือกับสำนักงาน ก.ล.ต.โดยรูปแบบการบันทึกบัญชีอาจมีลักษณะเป็น 1) แบบธุรกรรมการขายขาด (True Sale) โดยจะจำหน่ายทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องออกจากงบการเงินและรับรู้กำไรจากรายการดังกล่าวภายหลังเข้าทำรายการเรียบร้อยแล้ว หรือ 2) บันทึกบัญชีเป็นแบบหนี้สิน โดยบริษัทจะบันทึกธุรกรรมดังกล่าวเป็นหนี้สินด้วยจำนวนเงินไม่เกิน 9,000 ล้านบาท ซึ่งอ้างอิงจากมูลค่าเสนอขายสิทธิในรายได้สุทธิตามที่ได้เปิดเผยไว้ในร่างหนังสือชี้ชวน

โดยจากงบการเงินรวมของบริษัท ณ 30 มิถุนายน 2561 มีอัตราหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวม ประมาณ 2.21 เท่า ทั้งนี้ หากสมมติว่าบริษัทบันทึกรายการธุรกรรมการโอนรายได้สุทธิเป็นหนี้สินไม่เกิน 9,000 ล้านบาท และสมมติว่าบริษัทได้นำเงินที่ได้จากการทำธุรกรรมดังกล่าวบางส่วนจ่ายคืนเงินกู้มูลค่าประมาณ 4,150 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินกู้ยืมที่เกี่ยวข้องกับโครงการโรงไฟฟ้าที่จะนำมาจัดตั้ง SUPEREIF ดังนั้น อัตราหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวมเสมือน ณ สิ้นไตรมาส 2/61 ภายหลังจากการจัดตั้ง SUPEREIF จะเท่ากับ 2.02 เท่า

ทั้งนี้ มูลค่าของกองทุนเป็นมูลค่าประมาณเบื้องต้นซึ่งขึ้นอยู่กับอัตราผลตอบแทนและภาวะตลาด ณ ขณะนั้น

นายจอมทรัพย์ กล่าวว่า ส่วนเงินที่ได้รับจากการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวบริษัท มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปชำระคืนหนี้ และรองรับการขยายงานทั้งในประเทศและต่างประเทศภายในอนาคต

"การจัดตั้งกองทุนอินฟราฟันด์ที่ผ่านมาได้ทำงานกับทุกส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อให้สามารถจัดตั้งกองทุนฯ และให้ยื่นไฟลิ่งได้ในช่วงต้นตุลาคมตามเป้าหมาย ส่วนกระบวนการทำงานคงจะสามารถจัดตั้งกองทุนฯและเสนอขายหน่วยลงทุนได้ในช่วงเดือนมกราคม- กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งเป้าหมายหลัก ๆ จะนำไปชำระหนี้เพื่อลดต้นทุนดอกเบี้ย และใช้ในการขยายการลงทุนในอนาคต ซึ่งเป็นผลดีต่อธุรกิจทำให้มีเงินทุนรองรับการเติบโตที่แข็งแกร่งมากขึ้น รวมทั้งคาดว่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคตได้อย่างแน่นอน"นายจอมทรัพย์ กล่าว

ในส่วนผลการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปี 61 คาดว่าบริษัทมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง โดยทั้งปียังคงคาดว่าจะมีรายได้ 6,000 ล้านบาท รวมทั้งสามารถสร้างรายได้ให้เติบโตแบบก้าวกระโดด เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากการขายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ในโครงการต่าง ๆ ทั้งโรงไฟฟ้าขยะ จ.สระแก้ว ขนาดกำลังการผลิต 9 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าสหกรณ์การเกษตร เฟส 2 ขนาดกำลังการผลิต 28 เมกะวัตต์ เป็นต้น ซึ่งจะเห็นความชัดเจนในช่วงปลายปีนี้ และจะทยอยรับรู้รายเต็มปีในปีหน้า ซึ่งจะผลักดันให้กระแสเงินสดมีความแข็งแกร่ง นอกจากนี้ยังมีโครงการต่าง ๆ ในต่างประเทศที่จะเข้ามาสนับสนุนให้ผลประกอบการเติบโตเพิ่มเติมในอนาคตอีกด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ