ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) รับหลักทรัพย์ประเภทหุ้นสามัญ ของบมจ.เอสเอเอเอ็ม เอ็นเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ ใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ "SAAM" เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร กำหนดวันที่เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนและเริ่มทำการซื้อขายวันที่ 7 ม.ค.62 โดยมีจำนวนหุ้นที่จดทะเบียนกับตลท. และหุ้นชำระแล้ว 300 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นทุนชำระแล้ว 150 ล้านบาท
สำหรับ SAAM ได้เสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 80 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 1.80 บาท ระหว่างวันที่ 24-27 ธ.ค.61
SAAM มีการดำเนินงานใน 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1. จัดหาสถานที่ตั้งและให้บริการที่เกี่ยวข้องภายในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 2. ลงทุนในกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และ 3. พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพื่อจำหน่าย
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า mai ยินดีต้อนรับ บมจ. เอสเอเอเอ็ม เอ็นเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในกลุ่มทรัพยากร โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า "SAAM" ในวันที่ 7 ม.ค.62
SAAM เสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 144 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 540 ล้านบาท โดยมีบล.ทรีนีตี้ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้นำการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นายพดด้วง คงคามี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ SAAM เปิดเผยว่าการระดมทุนจาก mai ครั้งนี้ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้านเงินทุนและสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่กลุ่มบริษัท โดยจะนำเงินที่ได้ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนาในต่างประเทศ ใช้เป็นเงินทุนสำหรับเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ใช้คืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
SAAM มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ นายพดด้วง คงคามี และคู่สมรส ถือหุ้น 66.67% นายโสฬส คงคามี ถือหุ้น 6.67% และบล.ทรีนีตี้ ถือหุ้น 2.28% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 1.80 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 33.46 เท่า โดยคำนวณจากผลประกอบการของบริษัทในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา (1 ต.ค.60-30 ก.ย.61) ซึ่งเท่ากับ 16.13 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.0538 บาท
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลของงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ หรือบริษัทย่อย และหลังหักสำรองทุกประเภทตามที่กฎหมายกำหนด