(เพิ่มเติม) GPSC จะเข้าซื้อหน่วยผลิตไฟฟ้าขนาด 250 MW โครงการ CFP ของ TOP มูลค่าราว 2.41 หมื่นลบ. คาดเกิดขึ้นในช่วง Q3/66

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday January 22, 2019 14:20 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวานนี้ (21 ม.ค.) อนุมัติให้บริษัท หรือบริษัทย่อยที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ของบริษัท เข้าลงทุนในโครงการ Energy Recovery Unit โดยการเข้าซื้อหน่วยผลิตไฟฟ้า (Energy Recovery Unit:ERU) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project : CFP) ของบมจ.ไทยออยล์ (TOP) เพื่อรับโอนกรรมสิทธิ์ในโครงการ ERU จากไทยออยล์ โดยมีมูลค่าเทียบเท่าทั้งสิ้นไม่เกิน 757 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมีมูลค่าในสกุลเงินบาทประมาณ 24,113 ล้านบาท เมื่อโครงการ ERU ก่อสร้างแล้วเสร็จ และได้รับหนังสือรับรองผลงาน (Provisional Acceptance Certificate : PAC) ภายใต้โครงการ CFP เรียบร้อยแล้ว ซึ่งบริษัทคาดว่าการดำเนินการก่อสร้างโครงการ ERU จะแล้วเสร็จ และได้รับ PAC ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2566

รวมทั้งเข้าทำสัญญาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สัญญาซื้อขายทรัพย์สิน สัญญาจัดหาเชื้อเพลิงและสาธารณูปโภค สัญญาซื้อขายไฟฟ้า สัญญาดำเนินการและบำรุงรักษา และสัญญาเช่าช่วงที่ดิน (รวมเรียกว่า สัญญาที่เกี่ยวข้อง) ตลอดจนสัญญาการรับโอนสิทธิและหน้าที่ และสัญญาอื่นใดที่จำเป็นและเกี่ยวข้องกับการขายทรัพย์สินเพื่อรับโอนกรรมสิทธิ์ใน Energy Recovery Unit และการเข้าทำสัญญาที่เกี่ยวข้องดังกล่าวกับไทยออยล์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท โดยถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมเกินกว่าร้อยละ 10 ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัท

การเข้าทำธุรกรรมในครั้งนี้ เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของบริษัท ที่ให้ความสำคัญในการขยายการลงทุนตามแนวทางกลยุทธ์เติบโตพร้อมกับกลุ่มบมจ.ปตท. (PTT) ซึ่งจะเป็นการสร้างโอกาสต่อยอดธุรกิจในการผลิตไฟฟ้าและสาธารณูปโภคที่ใช้เชื้อเพลิงแตกต่างไปจากเดิม รวมทั้งเป็นการส่งเสริมการลงทุนเพื่อให้เกิดความมั่นคงทางพลังงานในอนาคต

ทั้งนี้ บริษัทหรือบริษัทย่อยจะเข้าลงนามในสัญญาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการ ERU ภายหลังจากที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัท ซึ่งบริษัทคาดว่าจะจัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2562 ภายในเดือนเมษายน 2562

โครงการ ERU เป็นหน่วยสนับสนุนสาธารณูปโภคของโครงการ CFP ของไทยออยล์ โดยโครงการ ERU เป็นหน่วยผลิตไฟฟ้าและไอน้ำเพื่อป้อนให้กับกระบวนการผลิตของโครงการ CFP ซึ่งโครงการ ERU ใช้เชื้อเพลิงหลักคือ กากน้ำมัน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์พลอยได้จากกระบวนการกลั่นของโครงการ CFP โดยโครงการ ERU มีกำลังการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำ ติดตั้งประมาณ 250 เมกะวัตต์ (MW) และ 175 ตันต่อชั่วโมง ตามลำดับ

สำหรับแหล่งเงินลงทุนในโครงการ ERU บริษัทจะใช้แหล่งเงินทุนจากกระแสเงินสดภายในของบริษัท และ/หรือ จะจัดหาแหล่งเงินทุนต่าง ๆ ตามความจำเป็นและเหมาะสม เช่น การจัดหาเงินกู้จากสถาบันการเงิน

นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ของ GPSC กล่าวว่า การพัฒนาหน่วยผลิตไฟฟ้าหรือ ERU ดังกล่าว บริษัทจะดำเนินการผ่านบริษัทย่อยที่ GPSC ถือหุ้น 100% ส่วนพื้นที่ตั้ง ERU จะเป็นสัญญาเช่าช่วงจากไทยออยล์ และมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างหลังมีการลงนามในสัญญา โดยก่อสร้างจะใช้ระยะเวลาประมาณ 58 เดือน หรือคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณไตรมาส 3 ปี 2566 ซึ่งแผนลงทุนครั้งนี้ เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของบริษัทในการเติบโตไปพร้อมกับกลุ่ม ปตท. สร้างโอกาสการต่อยอดธุรกิจการผลิตไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงแตกต่างไปจากเดิม เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางพลังงานในอนาคต

"โครงการ CFP ของไทยออยล์ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขัน ด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มคุณค่าผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และขยายกำลังการกลั่นน้ำมันเป็นระดับ 4 แสนบาร์เรล/วัน และในโครงการนี้ ERU เป็นหน่วยผลิตไฟฟ้าและไอน้ำ ซึ่งจะใช้กากน้ำมันที่เป็นผลิตภัณฑ์พลอยได้ของโครงการ CFP เป็นเชื้อเพลิงในการผลิต เพื่อลดภาระการลงทุนโครงการ CFP ไทยออยล์จึงจัดหาผู้ลงทุนแทนการลงทุนจัดสร้างเองทั้งหมด ซึ่ง GPSC ได้รับความไว้วางใจในการพัฒนาโครงการ ERU มาตั้งแต่โครงการ CFP ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาออกแบบ เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจสาธารณูปโภค โดยการลงทุนโครงการ ERU ในครั้งนี้ เป็นการเพิ่มโอกาสการสร้างการเติบโตในธุรกิจจากเชื้อเพลิงในรูปแบบที่แตกต่างออกไป"นายชวลิต กล่าว

นายชวลิต กล่าวว่า แผนการลงทุนครั้งนี้จะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 1,955 เมกะวัตต์ ไอน้ำรวมประมาณ 1,585 ตันต่อชั่วโมง ซึ่งในปี 2562 บริษัทมีแผนเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ (COD) ประกอบด้วย โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว ได้แก่ โรงไฟฟ้าน้ำลิก 1 (NL1PC) ขนาดกำลังการผลิต 65 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้า ไซยะบุรี (XPCL) กำลังการผลิต 1,285 เมกะวัตต์ รวมทั้งโรงผลิตสาธารณูปการระยองแห่งที่ 4 กำลังผลิต 45 เมกะวัตต์ ไอน้ำ 70 ตันต่อชั่วโมง และโรงผลิตสาธารณูปโภค 3 (CUP-3) ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) โรงไฟฟ้าประเภทพลังงานระบบโคเจนเนอเรชั่น ขนาดกำลังการผลิต 15 เมกะวัตต์

นอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างดำเนินการตามเงื่อนไขบังคับให้แล้วเสร็จในปีนี้ สำหรับปี 2563 มีโครงการส่วนต่อขยายของโรงไฟฟ้า นวนคร (NNEG) กำลังผลิต 60 เมกะวัตต์ ไอน้ำ 10 ตันต่อชั่วโมง ที่จะพร้อมเริ่มจ่ายไฟฟ้าและไอน้ำให้กับลูกค้าได้ ซึ่งขณะนี้ทุกโครงการมีความคืบหน้าในการพัฒนา และมั่นใจว่าสามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมายที่วางไว้


แท็ก ผลิตไฟฟ้า   gps  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ