บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) แจ้งว่าบริษัทตั้งงบลงทุนเพื่อใช้ในโครงการเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมัน การปิดซ่อมบำรุงใหญ่ และการปรับปรุงประสิทธิภาพต่าง ๆ ในปี 62 ประมาณ 256 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยคาดว่าจะไม่มีการเพิ่มทุนจากการดำเนินการดังกล่าว ซึ่งเบื้องต้นวางแผนการเพิ่มกำลังการผลิตของหน่วยกลั่นน้ำมันดิบ (CDU) และหน่วยผลิตปลายน้ำอื่น ๆ จาก 1.65 แสนบาร์เรล/วัน เป็น 1.75 แสนบาร์เรล/วัน ซึ่งจะสามารถสร้างรายได้ได้ทันทีหลังจากเสร็จสิ้นโครงการในเดือนธ.ค.62
ทั้งนี้ บริษัทวางแผนปิดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ในช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค.62 และจะแจ้งระยะเวลาที่แน่นอนอีกครั้งในไตรมาส 2/62 โดยบริษัทได้ปิดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ครั้งล่าสุดเมื่อเดือนก.พ.57 และในครั้งนี้บริษัทวางแผนดำเนินการอย่างดี เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดผลกระทบต่อลูกค้าและความต้องการใช้น้ำมันภายในประเทศ
โดยระหว่างการปิดซ่อมบำรุงใหญ่นั้น บริษัทจะปรับปรุงประสิทธิภาพของเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความเชื่อถือได้และให้เป็นไปตามข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม อาชีวอนามัยและความปลอดภัย ซึ่งจะทำให้สามารถปฏิบัติงานด้วยความปลอดภัยและมีความเชื่อถือได้สูง สามารถดำเนินการกลั่นน้ำมันดิบได้หลากหลาย ขยายระยะเวลาในการซ่อมบำรุง สามารถรักษาระดับความพร้อมใช้ของหน่วยผลิต (Operation Availability :OA) และอัตราการกลั่นที่ใช้จริง ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถมีผลการปฏิบัติงานอยู่ในระดับต้น ๆ เมื่อเทียบกับโรงกลั่นน้ำมันในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และคาบสมุทรอินเดีย
สำหรับผลการดำเนินงานของ SPRC ในปี 61 มีกำไรสุทธิ 2.26 พันล้านบาท ลดลงกำไรสุทธิ 8.9 พันล้านบาทในปี 60 โดยในไตรมาส 4/61 มีผลขาดทุนสุทธิ 3.88 พันล้านบาท จากกำไรสุทธิ 2.57 พันล้านบาทในไตรมาส 4/60 และกำไรสุทธิ 1.25 พันล้านบาทในไตรมาส 3/61
ผลขาดทุนในไตรมาส 4/61 มาจากการขาดทุนสต็อกน้ำมันหลังราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงเดือน พ.ย.และธ.ค.61 โดยผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันได้รวมผลขาดทุนจากการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือเป็นมูลค่าที่คาดว่าจะได้รับจำนวนราว 2 พันล้านบาท รวมถึงค่าการกลั่นอ่อนตัวลง และการลดลงของส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปเทียบกับราคาน้ำมันดิบดูไบ จากอุปทานของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ล้นตลาด โดยเฉพาะน้ำมันเบนซิน ส่งผลให้ค่าการกลั่นทางบัญชี -5.96 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่หากไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมัน บริษัทจะมีค่าการกลั่นตลาดที่ 4.40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในวันนี้ (21 ก.พ.) เห็นชอบให้เสนอต่อผู้ถือหุ้น ณ ที่ประชุมสามัญประจำปี 2562 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 10 เม.ย.62 เพื่อพิจารณาอนุมัติการงดจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.-31 ธ.ค.61 เนื่องจากการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเมื่อวันที่ 13 ก.ย.61 ซึ่งจ่ายสำหรับผลการดำเนินงานงวดครึ่งแรกของปี 61 จำนวน 0.5928 บาท/หุ้นนั้น มากกว่ากำไรสุทธิของงวดการดำเนินงานทั้งปี 61 หลังจากการจัดสรรทุนสำรองต่าง ๆ ทุกประเภท
โดยการอนุมัติดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายจ่ายเงินปันผลของบริษัท ที่จะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราส่วนไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิภายหลังจากการจัดสรรทุนสำรองต่าง ๆ ทุกประเภท และขึ้นอยู่กับกระแสเงินสดที่แท้จริง กระแสเงินสดในอนาคต ภาวะของตลาด และความจำเป็นในการใช้เงินทุนในอนาคต