บมจ.สยามอินเตอร์มัลติมีเดีย (SMM) แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวานนี้ (22 ก.พ.) อนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนไม่เกิน 1.8 พันล้านบาท เพิ่มเติมจากมติที่ประชุมคณะกรรมการอนุมัติเมื่อวันที่ 21 ธ.ค.61 ซึ่งจะส่งผลให้มีทุนจดทะเบียนเพิ่มเป็น 2.46 หมื่นล้านบาท โดยจะออกหุ้นใหม่เพิ่มเติม 1.8 พันล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 1 บาท แบ่งจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน (RO) ไม่เกิน 1.32 พันล้านหุ้น ในช่วงเดือนมิ.ย.62 ซึ่งเป็นการดำเนินการหลังธุรกรรมการซื้อและรับโอนกิจการทั้งหมดระหว่างบริษัท กับบริษัท ทีม เอ โฮลดิ้ง 2 จำกัด (TAH2) และแผนการปรับโครงสร้างของบริษัทสำเร็จแล้ว และจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน ไม่เกิน 480 ล้านหุ้น เสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป (PO)
ภายหลังจากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนและขายหุ้นสามัญเดิมให้แก่ประชาชนเป็นทั่วไปแล้ว บริษัทจะมีสัดส่วนการกระจายการถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) เท่ากับ 18.1% ของทุนชำระแล้ว
อนึ่ง เมื่อเดือนธ.ค.61 SMM เปิดเผยแผนการปรับโครงสร้างกิจการบริษัท โดยดึง TAH2 ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน"เฟ้ลปส์ ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์)" ผู้ผลิตและจำหน่ายสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลไฟฟ้า เข้า Backdoor หุ้นบริษัท พร้อมโอนกิจการทั้งหมดเข้าเป็นของบริษัท ขณะที่บริษัทเตรียมออกหุ้นเพิ่มทุน 2.15 หมื่นล้านหุ้นชำระค่าโอนกิจการทั้งหมดมูลค่า 1.29 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจเดิมสู่ธุรกิจผลิตและจำหน่ายสายไฟฟ้า ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีกระแสเงินสดที่ชัดเจนและมีศักยภาพในการเติบโตที่สูง ส่วนธุรกิจสื่อเตรียมขายออกไป คาดแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2/62
ขณะที่ TAH2 มีผู้ถือหุ้น จำนวน 3 ราย ได้แก่ นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ ,นางสาวณัฐดุลภรณ์ กิติกรพาณิชย์ และนายอภิชาติ ตั้งเอกจิต
ทั้งนี้ บริษัทจะออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท จำนวนไม่เกิน 2.15 หมื่นล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ในราคาเสนอขาย 0.60 บาท/หุ้น คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.29 หมื่นล้านบาท ให้แก่ TAH2 เพื่อใช้ชำระเป็นค่าตอบแทนสำหรับการซื้อและรับโอนกิจการทั้งหมดจาก TAH2 (ธุรกรรมการจัดสรรหุ้นเพื่อตอบแทนการรับโอนกิจการทั้งหมด) ซึ่งภายหลังการปรับโครงสร้างแล้วเสร็จผู้ถือหุ้นของ TAH2 จะเข้ามาถือหุ้นในบริษัทสัดส่วน 94.2% โดยการออกหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวจะทำให้มีทุนจดทะเบียนเป็น 2.28 หมื่นล้านบาท จากเดิม 323.21 ล้านบาท โดยออกหุ้นใหม่ไม่เกิน 2.25 หมื่นล้านหุ้น แบ่งเป็นจำนวน 2.15 หมื่นล้านหุ้น เพื่อเป็นค่าตอบแทนสำหรับธุรกรรมการรับโอนกิจการทั้งหมดให้แก่ TAH2 และจำนวนไม่เกิน 1 พันล้านหุ้นเสนอขายแบบเฉพาะเจาะจงให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) ได้แก่ นายรีวิน เพทายบรรลือ ได้รับการจัดสรร 666.67 ล้านหุ้น และนายณัฐพงศ์ ศีตวรรัตน์ ได้รับการจัดสรร 333.33 ล้านหุ้น และเตรียมจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2562 ในวันที่ 29 มี.ค.62
อย่างไรก็ตามที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 22 ก.พ.62 มีมติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนเพิ่มเติมอีก 1.8 พันล้านหุ้น ส่งผลให้วาระในการพิจารณาของที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2562 ในวันที่ 29 มี.ค.62 มีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะประเด็นการเพิ่มทุน ที่จะเปลี่ยนแปลงเป็น การเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 2.46 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่ 323.21 ล้านบาท โดยออกหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 2.43 หมื่นล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 1 บาท จัดสรร 2.15 หมื่นล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 0.60 บาท เพื่อเป็นค่าตอบแทนสำหรับธุรกรรมการรับโอนกิจการทั้งหมดให้แก่ TAH2 , จัดสรรจำนวน 1 พันล้านหุ้นเสนอขาย PP ได้แก่ นายรีวิน เพทายบรรลือ ได้รับการจัดสรร 666.67 ล้านหุ้น และนายณัฐพงศ์ ศีตวรรัตน์ ได้รับการจัดสรร 333.33 ล้านหุ้น ที่ราคาเสนอขายหุ้นละ 0.60 บาท , จัดสรร 1.32 พันล้านหุ้นให้กับ RO และจัดสรรจำนวน 480 ล้านหุ้น เสนอขายให้แก่ PO
ทั้งนี้ หลังจากที่ธุรกรรมการซื้อและรับโอนกิจการทั้งหมดระหว่างบริษัทกับ TAH2 และแผนการปรับโครงสร้างของบริษัทสำเร็จแล้ว บริษัทจะดำเนินการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทจำนวนไม่เกิน 1.32 พันล้านหุ้น เสนอขายแก่ RO โดยจะมีอัตราการเสนอขายในอัตราส่วน 17.2484 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ อย่างไรก็ตาม บริษัทได้รับแจ้งจาก TAH2 ว่า TAH2 และกลุ่มนายวนรัชต์ สละสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนตามสัดส่วน ทั้งจำนวน เพราะฉะนั้น ณ ช่วงเวลาเสนอขายดังกล่าว อัตราส่วนการเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม ยกเว้น TAH2 หรือกลุ่มนายวนรัชต์ เท่ากับประมาณ 1 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ ซึ่งคาดว่าการเสนอขายหุ้นดังกล่าวจะอยู่ในช่วงเดือน มิ.ย.62
และภายหลังจาก 6 เดือน นับจากที่ธุรกรรมการซื้อและรับโอนกิจการทั้งหมดระหว่างบริษัทกับ TAH2 และแผนการปรับโครงสร้างของบริษัทสำเร็จแล้ว บริษัทจะดำเนินการเสนอขายหุ้นให้ PO เป็นจำนวนรวมประมาณ 1.8 พันล้านหุ้น ซึ่งจะมาจากหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 480 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมของบริษัท ซึ่งถือโดยกลุ่มนายวนรัชต์ จำนวนประมาณ 1.32 พันล้านหุ้น ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือน ม.ค.63 จะส่งผลให้บริษัทมีสัดส่วนการถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นรายย่อยเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 18.1% ขณะที่กลุ่มนายวนรัชต์ จะมีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทราว 81.9%