นายพนม ควรสถาพร ประธานกรรมการบริหาร บมจ. เอเชีย กรีน เอนเนอจี (AGE) เปิดเผยว่า บริษัทฯได้มีการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจในเชิงรุกแล้ว ส่งผลให้บริษัทฯตั้งเป้าการเติบโตของรายได้รวม ในปี 2562 ไว้ที่ระดับ 9,000 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นผลจากแผนการวางกลยุทธ์ที่ครอบคลุมในธุรกิจมากขึ้น อาทิ การขยายช่องทางการตลาดไปยังต่างประเทศ ทั้ง เวียดนาม จีน และ กัมพูชา รวมถึงการบุกธุรกิจ ไปยังธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ ขนส่งทางน้ำและทางบก รวมทั้งการให้บริการท่าเรือ และคลังสินค้า เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทฯตั้งเป้าสัดส่วนยอดขาย ในตลาดต่างประเทศ ไว้ที่ 25% และ ในประเทศที่ 65% โดยตั้งเป้าปริมาณการขายถ่านหินทั้งปี ที่ระดับ 4 ล้านตัน และตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ ขนส่งทางน้ำและทางบก รวมทั้งการให้บริการท่าเรือ และคลังสินค้าที่ 10% ของรายได้รวม
บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยาย การให้บริการด้านโลจิสติกส์ ขนส่งทางน้ำ และทางบก รวมทั้งการให้บริการท่าเรือ และคลังสินค้า เพื่อต่อยอดธุรกิจการนำเข้าและจำหน่ายถ่านหิน อย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาแผนการปรับปรุงพื้นที่ และพัฒนาท่าเรือเพิ่มเติม เป็นท่าที่ 3 จากเดิมที่มีท่าเรือในการให้บริการอยู่แล้ว จำนวน 2 ท่า ในบริเวณคลังสินค้า อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทั้งนี้ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2562 นี้ ซึ่งหากแล้วเสร็จก็ยิ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพ ด้านการขนถ่ายสินค้าได้เพิ่มขึ้น
ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการทยอยรับมอบเรือลำเลียงซึ่งมีการต่อเพิ่มเติมในช่วงปีที่ผ่าน ซึ่งจะทำให้มีกองเรือลำเลียงจำนวน 24 ลำในช่วงไตรมาส 1/62 และในปี 2562 บริษัทฯมีแผนที่จะต่อเรือลำเลียงเพิ่มเติมอีกจำนวน 16 ลำ ซึ่งจะทำให้บริษัทฯมีกองเรือลำเลียงทั้งหมดเป็น 40 ลำ ดังนั้นการเพิ่มจำนวนกองเรือดังกล่าว จะสามารถรองรับความต้องการใช้บริการขนส่งทางน้ำ ของกลุ่มผู้ประกอบการในหลายอุตสาหกรรมได้เพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งยังจะมีการซื้อรถบบรรทุกและกระบะพ่วง เพิ่มเติมจำนวน 7 คันอีกด้วย
ส่วนผลประกอบการงวดปี 2561 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2561 ว่า บริษัทฯมีรายได้จากการขายและบริการ 7,900.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขายถ่านหินที่ 7,482.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และกำไรสุทธิ อยู่ที่ 127.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นช่วงเดียวกันของปีก่อน 6%
สำหรับการปรับตัวเพิ่มขึ้นของรายได้ในช่วงปีที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทฯ มียอดขายตลาดในประเทศเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบจากปีก่อน โดยยอดขายในประเทศอยู่ที่ 2.9 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 38% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน บริษัทฯยังได้มีการเพิ่มช่องทางขายในตลาดต่างประเทศ เพิ่มขึ้นด้วย โดยเฉพาะในประเทศเวียดนาม ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2561 บริษัทฯ มีปริมาณการจำหน่ายถ่านหิน ทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ อยู่ที่ 3.4 ล้านตัน และมีรายได้จากธุรกิจการให้บริการด้าน โลจิสติกส์ ขนส่งทางน้ำและทางบก รวมทั้งการให้บริการท่าเรือ และคลังสินค้า ที่ 418.1 ล้านบาท คิดเป็น 5% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้น 185% จากปีที่ผ่านมา
คณะกรรมการบริษัทได้มีมติให้เปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (Par) ของบริษัทจากเดิมห้นุละ 0.25 บาท เป็น 0.50 บาท ส่งผลให้จำนวนหุ้นสามัญของบริษัทหลังการเปลี่ยนแปลงมูลค่าพาร์ใหม่อยู่ที่ระดับ 966,894,874 หุ้น จากเดิม 1,933,789,748 หุ้น โดยจะมีการเสนอให้ผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติในวันที่ 29 เมษายน นี้