บมจ.เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล (JCK) แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในวันนี้ (19 มี.ค.) อนุมัติการลดทุนจดทะเบียนโดยตัดหุ้นที่ยังไม่ได้นำออกจำหน่าย หลังจากนั้นให้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 2.77 พันล้านบาท จากเดิม 2.55 พันล้านบาท โดยออกหุ้นเพิ่มทุน 214.7 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 1 บาท เพื่อเสนอขายบุคคลในวงจำกัด (PP) ตามแบบมอบอำนาจทั่วไป (General mandate)
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะได้รับเงินจากการระดมทุนครั้งนี้ราว 328.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขประมาณการเบื้องต้นจากราคาเสนอขายหุ้น PP โดยกำหนดให้มีส่วนลด 10% ของราคาตลาดของหุ้นบริษัท จะได้ท่ากับ 1.53 บาท/หุ้น อย่างไรก็ตามมูลค่าเงินทุนที่บริษัทจะได้รับจริงอาจเปลี่ยนแปลงไปได้ขึ้นอยู่กับราคาเสนอขายและจำนวนหุ้นที่เสนอขายได้ในอนาคต
สำหรับวัตถประสงค์ในการเพิ่มทุนครั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน จ่ายชำระหนี้ และใช้ในการดำเนินธุรกิจและพัฒนาโครงการของบริษัทและบริษัทย่อยที่มีอยู่ในปัจจุบัน และรองรับการขยายการลงทุนในอนาคตช่วงปี 62-63
นายอภิชัย เตชะอุบล ประธานกรรมการ JCK หรือเดิมคือ TFD เปิดเผยว่า การเพิ่มทุนครั้งนี้จะทำให้บริษัทมีสภาพคล่องทางการเงิน เพิ่มความแข็งแกร่งของฐานะการเงินให้แก่บริษัทและช่วยลดภาระการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน ส่งผลให้บริษัทมีต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ขณะเดียวกันทำให้บริษัทมีเงินทุนเพิ่มขึ้น สามารถนำมาใช้ในการพัฒนาโครงการของบริษัทที่มีอยู่ในปัจจุบัน และรองรับการขยายการลงทุนในอนาคต ซึ่งส่งผลให้บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรและแนวโน้มผลการดำเนินงานมีทิศทางที่ดีขึ้นได้
แผนการดำเนินธุรกิจปี 62 คาดว่ารายได้จากการขายที่ดินจะเป็นปัจจัยหลักที่จะสร้างรายได้ และผลักดันผลประกอบการของบริษัทให้เติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา เพราะธุรกิจนิคมฯ มีอัตรากำไรค่อนข้างสูง และปัจจุบันมีลูกค้าที่สนใจซื้อที่ดินโครงการของบริษัทอยู่หลายรายทั้งผู้ประกอบการเดิมที่อยู่ในนิคมฯ และลูกค้ารายใหม่ เนื่องจากโครงการของบริษัทเป็นนิคมฯ ที่ตั้งอยู่ในเขต EEC ประกอบมีโลเคชั่นที่ดี ติดขนานตลอดแนวถนนมอเตอร์เวย์เกือบ 4 กิโลเมตร และติดถนนบางปะกง-ฉะเชิงเทรา อีกทั้งเป็นนิคมฯ ในเขต EEC ที่ตั้งอยู่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุดทำให้ที่ดินของนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี มีความน่าสนใจมากขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทเชื่อมั่นว่าในปี 62 จะสามารถปิดยอดขายที่ดินในนิคมทีเอฟดี 2 ได้ไม่น้อยกว่า 200 ไร่ และยังได้รับอานิสงส์จากวิกฤตสงครามการค้าระหว่างจีนและอเมริกา ทำให้มีลูกค้ารายใหม่หลายรายจากประเทศจีนที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจย้ายฐานการลงทุนมาไทยอีกจำนวนมาก
ส่วนแผนขยายการลงทุนในอนาคตของธุรกิจนิคมฯ นั้น บริษัทได้เข้าร่วมประมูลการลงทุนพัฒนาที่ดินราชพัสดุในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ จังหวัดนครพนม ซึ่งมีพื้นที่รวมประมาณ 1,363 ไร่ 2 งาน 17.1 วา กับกรมธนารักษ์ ซึ่งบริษัทเล็งเห็นถึงศักยภาพการเติบโตในอนาคตของภูมิภาคและสามารถพัฒนายกระดับพื้นที่ดังกล่าวให้เป็นศูนย์กลางการขนส่งและโลจิสติกส์
เนื่องจากจังหวัดนครพนมเป็นเส้นทางเชื่อมต่อประเทศในภูมิภาคอินโดจีน เช่น ลาว เวียดนาม กัมพูชา และเชื่อมต่อประเทศจีนตอนใต้ผ่านสะพานมิตรภาพ 3 ที่สั้นและสะดวกที่สุด ประกอบกับพื้นที่โครงการตั้งติดกับเส้นทางรถไฟรางคู่ ขอนแก่น (บ้านไผ่) – นครพนม รวมทั้งยังสามารถพัฒนาเพื่อรองรับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และอุตสาหกรรมแปรรูปต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลที่จะส่งเสริมการพัฒนาและลงทุนกระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งบริษัทคาดว่าจะได้รับการคัดเลือกเป็นผู้พัฒนาโครงการในครั้งนี้
ขณะที่ธุรกิจคลังสินค้าในประเทศอังกฤษ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาขาย Warehouse ที่เหลืออยู่อีก 1 แห่ง ซึ่งคาดว่าน่าจะสามารถขายและรับรู้รายได้ไม่เกินกลางปี 62 โดยมีมูลค่าขายอยู่ประมาณ 700-800 ล้านบาท ส่วนธุรกิจคลังสินค้าให้เช่าในไทย มีแนวโน้มที่ดี โดยคาดว่าในปีนี้น่าจะปล่อยเช่าพื้นที่ได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 30,000 ตร.ม. เมื่อรวมกับพื้นที่เช่าปล่อยเดิมอีกประมาณ 32,000 ตร.ม.ยอดรวมจะเพิ่มขึ้นเป็น 62,000 ตร.ม.
นอกจากนี้ บริษัทมีนโยบายจะขายคลังสินค้าบางส่วน เข้าไปเป็นสินทรัพย์หลักของกอง REIT ซึ่งน่าจะมีขนาดเสนอขายไม่น้อยกว่า 2,000-2,500 ล้านบาท และคาดว่ารายได้ในส่วนนี้ บริษัทจะรับรู้เข้ามาประมาณไตรมาส 4/62 หรืออย่างช้าไม่เกินกลางปี 63