บมจ.เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ (CHOW) แจ้งว่าเมื่อวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา บริษัทได้รับเงินจากการขายโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศญี่ปุ่น ให้แก่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในประเทศญี่ปุ่น สำหรับโครงการ ฟุกุย 1, ฟุกุย 5, ฟุกุย 6 และฟุกุย 7 รวม 4 โครงการ จากกองทุนฯ จำนวน 1,747 ล้านเยน (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) หรือประมาณ 505.23 ล้านบาท
ทั้งนี้ การขายโครงการดังกล่าวเป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 27 ก.พ.62 ที่อนุมัติให้บริษัทย่อยทางอ้อมดำเนินการเข้าทำธุรกรรมการขายทรัพย์สินประเภทโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 5 โครงการ ขนาดกำลังการผลิต ติดตั้งรวม 5.86 เมกะวัตต์ (MW) ประกอบด้วย โครงการ กิฟุ, ฟุกุย 1, ฟุกุย 5, ฟุกุย 6 และ ฟุกุย 7 ให้แก่ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในประเทศญี่ปุ่น
นายศุภชัย ยิ้มสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและบริหาร CHOW สำหรับธุรกิจพลังงานทดแทนในปีนี้นอกเหนือจากการขายโครงการให้กับกองทุนญี่ปุ่นเพื่อสร้างผลกำไรตามนโยบายของบริษัทแล้วยังคงเดินหน้าผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ และแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เข้ามาเพิ่ม
ปัจจุบัน บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 1 โครงการ ขนาด 7.2 เมกะวัตต์ดีซี คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2/62 และยังมีโครงการอยู่ในระหว่างการพัฒนาอยู่อีก 1 โครงการมีขนาด 12 เมกะวัตต์ดีซีซึ่งจะสะท้อนให้ธุรกิจพลังงานเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ได้
ขณะที่ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเหล็กแท่งยาวหลังจากได้ปรับกลยุทธ์การขยายธุรกิจหันมารับจ้างผลิตให้กับลูกค้ารายใหญ่แทนปริมาณปีละ 400,000 ตัน เพื่อลดปัญหาผลกระทบจากทั้งราคาเหล็กและวัตถุดิบผันผวนในปัจจุบัน จะเริ่มส่งมอบสินค้าได้ในเดือนมิถุนายนนี้ นอกจากนั้นการวางแผนปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการพัฒนารูปแบบการจำหน่ายสินค้าให้กับลูกค้ารายใหม่ที่มีศักยภาพในอนาคต ซึ่งช่วยให้สามารถควบคุมความผันผวนของราคาวัตถุดิบและส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้นนั้นเชื่อว่ากลยุทธ์ดังกล่าวจะส่งผลให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นได้ในปีนี้
"ในปีนี้บริษัทยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคง ทั้งธุรกิจพลังงานทดแทนและธุรกิจผลิตและจำหน่ายเหล็กแท่งยาวซึ่งหลังจากนี้บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าหาลู่ทางในการสร้างรายได้และผลตอบแทนที่คุ้มค่าอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นที่ให้การสนับสนุนบริษัทฯ ด้วยดีเสมอมา หลังจากที่ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเหล็กแท่งยาวได้ปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจใหม่ให้มีรายได้ที่มั่นคงและลดความเสี่ยงจากผลกระทบจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะเรื่องความผันผวนของราคาวัตถุดิบ ซึ่งเชื่อว่าจะเห็นผลในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนในปีนี้"นายศุภชัย กล่าว