บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) และบริษัทย่อย (เครือเอสซีจี) แจ้งกำไรไตรมาส 1/62 ที่ 11,662 ล้านบาท ลดลง 6% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และ EBITDA ลดลง 12% ตามผลการดำเนินงานที่ลดลงของธุรกิจเคมิคอลส์ เนื่องจากส่วนต่างราคาสินค้าลดลง โดยมีรายได้จากการขาย 112,379 ล้านบาท ลดลง 5% จากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ลดลงตามความต้องการสินค้าในตลาดโลกที่ลดลง
ณ วันที่ 31 มี.ค.62 เอสซีจีมีสินทรัพย์รวม เท่ากับ 598,386 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2561 จำนวน 8,598 ล้านบาท
ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ไตรมาส 1/62 มีรายได้จากการขายเท่ากับ 48,310 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อน ตามการขยายตัวของตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศ สำหรับ EBITDA เท่ากับ 7,099 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 33% จากไตรมาสก่อน จากราคาปูนซีเมนต์ในประเทศและการลงทุนเพื่อประหยัดต้นทุน โดยกำไรสำหรับงวดเท่ากับ 3,040 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 95% จากไตรมาสก่อน
ทั้งนี้ ตลาดปูนซีเมนต์โดยรวมในประเทศไทยเติบโต 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยตลาดภาครัฐซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 40% เติบโตขึ้น 6% ขณะที่ภาคเอกชน คงที่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนราคาเฉลี่ยปูนซีเมนต์ขยับตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนและช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ในช่วง 1,750–1,800 บาทต่อตัน
ด้านธุรกิจเคมิคอลส์ มีรายได้จากการขาย 46,240 ล้านบาท ลดลง 14% จากไตรมาสก่อน และลดลง 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาสินค้าที่ปรับตัวลดลง โดย EBITDA ลดลง 9% จากไตรมาสก่อน และลดลง 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 8,264 ล้านบาท จากเงินปันผลรับจากบริษัทร่วมลดลง ในขณะที่ EBITDA from operations เพิ่มขึ้น 33% จากไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ 7,267 ล้านบาท เช่นเดียวกันกับกำไรสำหรับงวดที่เพิ่มขึ้น 13% จากไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ 6,106 ล้านบาท เนื่องจากไตรมาสก่อนมีขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือแต่ลดลง 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากส่วนต่างราคาสินค้าที่ปรับตัวลดลง
ธุรกิจแพคเกจจิ้ง มีรายได้จากการขาย เท่ากับ 21,127 ล้านบาท ลดลง 1% จากไตรมาสก่อน และลดลง 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้จากการขายของสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ลดลง โดยมี EBITDA สำหรับไตรมาสนี้เท่ากับ 3,841 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการบริหารจัดการด้านต้นทุนของธุรกิจ โดยมาจากการปรับปรุงและพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต การซ่อมบำรุง รวมถึงการดำเนินโครงการลดต้นทุนต่างๆของบริษัท
ทั้งนี้ EBITDA จากสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์และจากสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ คิดเป็นสัดส่วน 84% และ 16% ตามลำดับ กำไรสำหรับงวดเท่ากับ 1,681 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน