บมจ.เคมีแมน (CMAN) แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในวันนี้ (19 ก.ค.) อนุมัติให้บริษัท NORTHMAN CO., LTD. (NORTHMAN) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่จัดตั้งในประเทศเวียดนาม และถือหุ้นโดยบริษัททั้ง 100% เข้าลงทุนใน HA LONG QN LIME COMPANY LIMITED ประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นผู้ผลิตปูนไลม์ โดยจะเงินไม่เกิน 30 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบเท่าไม่เกิน 928.5 ล้านบาท เพื่อเข้าถือหุ้น 80% ในบริษัทดังกล่าว และลงทุนซื้อสินทรัพย์เพิ่มเติม เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิตและการเติบโตตามแผนธุรกิจของบริษัทดังกล่าว โดยคาดว่าการเข้าซื้อกิจการจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3/62
ทั้งนี้ NORTHMAN จะเข้าซื้อหุ้น 80% ใน HA LONG QN LIME COMPANY LIMITED คิดเป็นมูลค่าไม่เกิน 25 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่าไม่เกิน 773.8 ล้านบาท ภายหลังการซื้อหุ้นเสร็จสิ้น NORTHMAN จะพิจารณาลงทุนเพิ่ม โดยให้การสนับสนุนทางการเงินเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และ/หรือ ใช้ในการปรับปรุงสินทรัพย์เดิม และ/หรือ ลงทุนซื้อสินทรัพย์เพิ่มเติม เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิตและการเติบโตตามแผนธุรกิจของบริษัทดังกล่าว รวมคิดเป็นมูลค่าไม่เกิน 12 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่าไม่เกิน 371.4 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามเมื่อรวมมูลค่าการลงทุนทั้งสองส่วน จะต้องมีมูลค่าไม่เกิน 30 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเงินลงทุนจะมาจากเงินทุนหมุนเวียนภายในกิจการของบริษัท และเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน
สำหรับ HA LONG QN LIME COMPANY LIMITED ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายปูนควิกไลม์และปูนไฮเดรตไลม์ (ปูนไลม์) อยู่ในประเทศเวียดนาม โดยได้รับใบอนุญาตให้ดำเนินงานเหมืองแร่หินปูนเคมี ที่ Son Duong Commune, Hoanh Bo District, Quang Ninh Province, Vietnam และมีโรงงานผลิตปูนไลม์ตั้งอยู่ที่ Le Loi Commune, Hoanh Bo District, Quang Ninh Province, Vietnam ดังนั้น บริษัทดังกล่าวจึงมีแหล่งแร่หินปูนเคมีคุณภาพดีเป็นของตนเองเพื่อใช้ในกระบวนการผลิตปูนไลม์
การเข้าลงทุนครั้งนี้ นับว่าเป็นการลงทุนที่สอดคล้องกับเป้าหมายหลักในการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่จะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมปูนไลม์ ด้วยกลยุทธ์การขยายฐานการผลิตไปยังพื้นที่ที่เหมาะสมทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตรองรับการขยายฐานลูกค้าในตลาดใหม่ๆ ซึ่งจะเป็นการสร้างรายได้ให้กับบริษัท นอกจากนี้การขยายฐานการผลิตไปที่ประเทศเวียดนามจะเป็นการเพิ่มศูนย์กระจายสินค้าที่ทำให้สามารถบริหารจัดการด้านขนส่งได้เป็นอย่างดี โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจะครอบคลุมพื้นที่ฝั่งเอเชียตะวันออก และกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านขนส่ง