ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) รับหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 22,166,666,666 หุ้น พาร์หุ้นละ 1 บาท ของบมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) เข้าซื้อขายใน SET หลังจากเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 22,489,877,671 บาท จากเดิม 323,211,005 บาท ตามแผนการปรับโครงสร้างบริษัท ที่มีกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่เข้า Backdoor หุ้นบมจ.สยามอินเตอร์มัลติมีเดีย (SMM) เดิม
ทั้งนี้ ตลท.ได้ปรับย้ายหมวดธุรกิจของ STARK ให้มาซื้อขายในกลุ่มอุตสาหกรรม สินค้าอุตสาหกรรม หมวดธุรกิจ วัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร จากเดิมอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม บริการ หมวดธุรกิจ สื่อและสิ่งพิมพ์ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค.นี้
STARK ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยถือหุ้นในบริษัท เฟ้ลปส์ ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด (PDITL) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย 99.28% ที่ประกอบธุรกิจหลักผลิตและจำหน่ายสายไฟฟ้าทองแดงและอลูมีเนียม โดยผลิตภัณฑ์สามารถแบ่งประเภทการใช้งานได้ ดังนี้
1) สายไฟฟ้าสำหรับระบบการส่งและจ่ายกระแสไฟฟ้า ได้แก่ สายไฟฟ้าเปลือย สายแรงดันไฟฟ้าปานกลาง สายแรงดันไฟฟ้าสูงและสูงพิเศษ โดยสายไฟฟ้าประเภทดังกล่าวนิยมใช้ในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคม เป็นต้น
2) สายไฟฟ้าทั่วไป ได้แก่ สายไฟฟ้าสำหรับอาคารทั่วไป สายแรงดันไฟฟ้าต่ำ ซึ่งนิยมใช้ตามอาคารสูง ครัวเรือน อาคารที่พักอาศัย เป็นต้น รวมถึง สายโทรศัพท์ สายไฟฟ้าทนไฟและหน่วงไฟ ซึ่งใช้ในการติดตั้งสายเคเบิ้ล และระบบการสื่อสารโทรคมนาคม
STARK ได้ยื่นคำขอให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ พิจารณาคุณสมบัติในการเป็นบริษัทจดทะเบียนใหม่และตลาดหลักทรัพย์ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าหุ้นสามัญของบริษัท มีคุณสมบัติครบถ้วนตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกอบกับบริษัทได้ดำเนินการตามเงื่อนไขการรับหลักทรัพย์ โดยนำหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จัดสรรให้กับบุคคลในวงจำกัด 3 ราย จำนวน 22,166,666,666 หุ้น ซึ่งเป็นการเสนอขายในราคาต่ำกว่า 90% ของราคาตลาด มาฝากไว้ที่บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด (Silent Period) แล้ว จำนวน 21,500,000,000 หุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 666,666,666 หุ้น ได้รับการผ่อนผันการนำฝากหุ้นตามเงื่อนไขผ่อนผันที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ
เพื่อให้หลักทรัพย์ของ STARK อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เหมาะสมกับลักษณะการประกอบธุรกิจในปัจจุบันของบริษัท ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงเห็นควรกำหนดให้หุ้นสามัญและหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ STARK เริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม หมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค.62 เป็นต้นไป