PTTGC เผยกำไร Q2/62 หดตัวแรง รับผลราคาผลิตภัณฑ์-สเปรดลดกดดัน พร้อมมองทิศทาง H2/62 ยังไม่สดใส

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday August 7, 2019 18:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/62 ที่ระดับ 2,202 ล้านบาท ลดลง 80% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 66% จากไตรมาสก่อน โดยมีรายได้จากการขาย 106,748 ล้านบาท ลดลง 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 5% จากไตรมาสก่อน จากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับลดลงตามแนวโน้มราคาน้ำมัน และส่วนต่าง (สเปรด) ผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์และโรงกลั่นที่ลดลง และการตั้งประมาณการค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานเพิ่มขึ้นตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานใหม่กดดันต่อผลประกอบการโดยรวม

อย่างไรก็ตามในส่วนของกำไรจากการดำเนินการหลัก (ไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันและรายการปรับลดมูลค่าทางบัญชีของสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ และผลกระทบจากการตั้งประมาณการค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานเพิ่มขึ้น) จำนวน 4,388 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 13% จากไตรมาสก่อนหน้า และปรับตัวลดลง 47% จากไตรมาส 2/61 โดยเป็นผลจากราคาผลิตภัณฑ์ที่มีการปรับตัวลดลง ตามแนวโน้มราคาน้ำมันที่ปรับลดลงและเป็นผลจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจากผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ และประเทศจีน

ประกอบกับปริมาณการขายที่ลดลงของบริษัท จากการปิดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงอะโรเมติกส์ หน่วยที่ 1 ในไตรมาสนี้ ซึ่งจากผลกระทบในภาพรวมของเศรษฐกิจดังกล่าว ทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ธุรกิจโอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ส่วนต่างของผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์และส่วนต่างของผลิตภัณฑ์โรงกลั่นปรับตัวลดลง และเมื่อรวมผลกระทบจากรายการอื่น ๆ อาทิ รายการปรับลดมูลค่าทางบัญชีของสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ ผลกระทบจากการตั้งประมาณการค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานเพิ่มขึ้น จากกฎหมายที่มีการปรับเพิ่มจำนวนวันชดเชยหลังเกษียณอายุ โดยเริ่มรับรู้ในเดือนพฤษภาคม 2562 เป็นจำนวน 784 ล้านบาท (สุทธิภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี) ส่งผลให้กำไรสุทธิในไตรมาสนี้ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 2,202 ล้านบาท

สำหรับไตรมาสนี้ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันมีค่าการกลั่น (GRM) ที่ไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันอยู่ที่ 3.46 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล ปรับเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน แต่ลดลง 44% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ธุรกิจอะโรเมติกส์ ส่วนต่างผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ปรับตัวลดลงแม้ว่าจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการผลิตภัณฑ์ปลายน้ำที่ยังคงมีอัตรากำลังการผลิตอยู่ในระดับสูง เนื่องจากตลาดมีความกังวลจากกำลังการผลิตใหม่ที่จะเข้ามาในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้ส่วนต่างผลิตภัณฑ์พาราไซลีนและเบนซีนกับคอนเดนเสทปรับตัวลงลงอย่างมาก

ส่วนธุรกิจโอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ราคาผลิตภัณฑ์โพลีเอทิลีนยังคงได้รับแรงกดดันจากสงครามการค้าที่ยังมีความไม่แน่นอน ในขณะที่ธุรกิจเอทิลีนออกไซด์มีผลกำไรดีขึ้นหลังจากการกลับมาเดินเครื่องเต็มที่จากการปิดซ่อมบำรุงก่อนหน้า ส่งผลให้ Adjusted EBITDA margin ของธุรกิจโอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องยังอยู่ในระดับคงที่ที่ 18% จากเหตุผลดังกล่าวทำให้ Adjusted EBITDA ของบริษัท ในไตรมาส 2/62 อยู่ที่ 7,582 ล้านบาท ลดลง 22% จากไตรมาส 1/62 และลดลง 52% จากไตรมาส 2/61

ขณะที่ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1,283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาส 1/62 สาเหตุหลักเป็นผลจากการปรับตัวดีขึ้นของธุรกิจโพลีโพรพิลีน ทั้งนี้ในไตรมาสนี้บริษัทมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 692 ล้านบาทจากการปรับตัวแข็งค่าของค่าเงินบาท อย่างไรก็ตามจากความผันผวนของราคาน้ำมันดิบดูไบและส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ส่งผลให้บริษัท รับรู้ผลกำไรจากสต็อกน้ำมันและรายการปรับลดมูลค่าทางบัญชีของสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Stock Gain Net NRV) ขาดทุนรวม 1,402 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มตลาดน้ำมันในช่วงที่เหลือของปี 62 คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่ค่าเฉลี่ย 60-65 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อย่างไรก็ดี ตลาดน้ำมันดิบในครึ่งปีหลังยังคงมีความไม่แน่นอน ทั้งจากสงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ และประเทศจีน ซึ่งมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจ ประกอบกับความกังวลในเศรษฐกิจโลก อาจกดดันความต้องการใช้น้ำมัน

ขณะที่ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมในช่วงที่เหลือของปี 62 คาดว่าส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ที่ 15.4-16.9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จากปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการของ International Marine Organization (IMO) ในการควบคุมระดับกำมะถันในน้ำมันเตาที่ใช้ในอุตสาหกรรมเดินเรือ ทาให้มีความต้องการในการใช้น้ำมันดีเซลเข้าไปผสมเพื่อให้ได้มาตรฐาน ในขณะที่ส่วนต่างราคาน้ำมันเตาและแก๊สโซลีนคาดว่าจะมีการปรับตัวลดลง ขณะที่น้ำมันแก๊สโซลีนยังได้รับปัจจัยกดดันจากระดับสินค้าคงคลังที่สูงและปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากการใช้กำลังการผลิตในระดับสูงของโรงกลั่นในภูมิภาคอเมริกาเหนือ ทั้งนี้ ในส่วนของการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันนั้นมีแผนการหยุดซ่อมบำรุงในไตรมาส 4 ประมาณ 2 เดือน คาดว่าการใช้กำลังการผลิตทั้งปีเฉลี่ยอยู่ที่ 84%

แนวโน้มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ บริษัทคาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์พาราไซลีนกับแนฟทาในช่วงที่เหลือของปี 62 จะอยู่ที่ประมาณ 320-350 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ลดลงจากครึ่งปีแรกเนื่องจากอุปทานที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากอุปทานใหม่จากประเทศจีน ในขณะที่อุปสงค์จากภาคอุตสาหกรรม เส้นใยและสิ่งทอ (Fiber Filament) กรดเทเรฟทาริคบริสุทธิ์ (PTA) และขวดบรรจุภัณฑ์ (PET Bottle Resin) ยังคงอยู่ในระดับที่สูง สำหรับส่วนต่างของราคาเบนซีนและแนฟทาจะอยู่ที่ประมาณ 150-170 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรกจากการคาดการณ์ว่าอุปสงค์ของผลิตภัณฑ์เบนซีนจะฟื้นตัวดีขึ้น สำหรับในปีนี้บริษัท หยุดซ่อมบำรุงเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของหน่วยผลิตอะโรเมติกส์ 1 ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาประมาณ 2 เดือนคาดว่าการใช้กำลังการผลิตทั้งปีเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 89%

แนวโน้มของสถานการณ์ผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี 62 มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นตามทิศทางของราคาน้ำมัน ทั้งนี้ราคาผลิตภัณฑ์ขึ้นอยู่กับความคืบหน้าของการเจรจาจากประเด็นความขัดแย้งทางด้านการค้า ซึ่งปัจจุบันยังมีความไม่แน่นอนและยังไม่สามารถบรรลุถึงข้อตกลงทางการค้าได้ และจากผลดังกล่าวคาดว่าจะมีอุปทานเพิ่มขึ้นจากประเทศสหรัฐอเมริกาเข้ามาในภูมิภาคมากขึ้น รวมถึงกำลังการผลิตใหม่ที่จะปรับเพิ่มขึ้นมากในภูมิภาค ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวคาดว่าราคาเฉลี่ยเม็ดพลาสติก HDPE ในช่วงครึ่งปีหลังจะอยู่ราว 1,000-1030 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน

สำหรับสถานการณ์ราคา MEG คาดว่าจะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยจากครึ่งปีแรก ซึ่งปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากปรับลดกำลังการผลิตของหลายโรงงานในภูมิภาค และอุปสงค์การใช้งานของตลาดผลิตภัณฑ์ปลายน้ำโดยเฉพาะ Polyester ในจีนยังคงเติบโตได้ตามสภาพเศรษฐกิจของประเทศ แม้ว่าปริมาณอุปทานจะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจากกำลังการผลิตใหม่ที่เริ่มทยอยเข้าสู่ตลาด บริษัทคาดว่าราคา MEG ASP เฉลี่ยจะอยู่ประมาณ 545-570 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ทั้งนี้คาดว่าการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยทั้งปีของธุรกิจโอเลฟินส์จะอยู่ที่ 102% และธุรกิจโพลิเมอร์จะอยู่ที่ 103%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ