นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) ประกาศเป้าหมายผลักดันรายได้เติบโตต่อเนื่อง 3 ปีแตะ 2 แสนล้านบาทภายในปี 64 จากปีนี้ 1.4 แสนล้านบาท โดยมุ่งเน้นขยายโครงสร้างธุรกิจ non-oil ไปสู่เป้าหมายสัดส่วน 60% ของอัตรากำไรขั้นต้น จากปัจจุบันอยู่แค่เพียง 10-11% เพื่อให้เกิด New S Curve ของการเติบโตจากธุรกิจใหม่ในอนาคต พร้อมกระจายความเสี่ยงจากการผูกกับความผันผวนของราคาน้ำมันและนโยบายของภาครัฐ
ขณะที่ราคาหุ้น PTG ปรับตัวขึ้นโดดเด่น จากต้นปีเคลื่อนไหวแถว 8.55 บาท ก่อนจะไต่ระดับขึ้นมายืนเหนือ 20 บาทในช่วงต้นเดือน ส.ค.62 เป็นที่น่าสนใจว่าแนวโน้มผลประกอบการในครึ่งปีหลังของ PTG จะสนับสนุนการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นได้อีกหรือไม่??
*จากลุ้นกำไรปีนี้ทุบสถิติใหม่สู่การเติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วงต่อไป
นายพิทักษ์ กล่าวว่า ผลงานของ PTG ในปีนี้จะเป็นอีกหนึ่งปีที่ดีที่สุด เพราะคาดว่ากำไรสุทธิมีโอกาสเติบโตทุบสถิติ ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมาเป็นเวลา 31 ปี สะท้อนได้จากผลประกอบการในครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิ 947 ล้านบาท สูงกว่าปี 61 ทั้งปีที่มีกำไรสุทธิ 624 ล้านบาท
ทั้งนี้ PTG รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/62 มีกำไร 427.93 ล้านบาท เติบโต 140% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ 6 เดือนแรกมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 947.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112.34% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 446.26 ล้านบาท นายพิทักษ์ กล่าวว่า ปลายปีที่แล้วบริษัทได้รับผลกระทบจากค่าการตลาดลดลงหลังจากรัฐบาลเข้ามาพยุงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้สูงเกิน 30 บาท/ลิตร ทำให้จำเป็นต้องลดค่าการตลาดมาเหลือแถว 1.60-1.70 บาท/ลิตร แต่ช่วงครึ่งแรกของปีนี้ค่าการตลาดเฉลี่ยกลับมาอยู่ที่ 1.80-1.90 บาท/ลิตร ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมต่ออัตราการเติบโตของกำไร
ขณะเดียวกันยังเชื่อว่าค่าการตลาดในครึ่งปีหลังจะแกว่งตัวในระดับ 1.80-1.90 บาท/ลิตรได้เช่นเดิม เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกไม่น่าจะปรับตัวขึ้นไปสูงเหมือนปีก่อนที่ 70-75 เหรียญ/บาร์เรล เพราะภาวะเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในภาวะชะลอตัว ขณะที่ค่าเงินบาทไม่ได้อ่อนค่า จึงมองว่าราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศจะมีกรอบการปรับขึ้นที่จำกัด
นอกจากนี้ ปริมาณขายน้ำมันในครึ่งปีแรกเติบโตได้ถึง 20% สูงกว่าคาดเล็กน้อย ทำให้ทั้งปีเชื่อว่าปริมาณขายน้ำมันอาจจะเติบโตได้มากกว่าเป้าหมายที่ 16-20% เพราะตามปกติแล้วปริมาณขายน้ำมันในครึ่งปีหลังจะสูงกว่าครึ่งปีแรก
สำหรับยอดขายน้ำมันเพิ่มขึ้นมาจากบริษัทใช้โมเดลยกระดับการให้บริการด้านต่างๆ และที่สำคัญคือปริมาณขายทั้งหมดสัดส่วนกว่า 73% ใช้บริการผ่านบัตรสมาชิก PT Max Card เป็นส่วนสำคัญเร่งสร้างยอดขาย ปัจจุบันสมาชิก PT Max Card มีจำนวน 10.4 ล้านราย และคาดว่าจะมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.5 ล้านรายในปีนี้ ขณะที่บริษัทวางเป้าหมายว่าในปี 65 จะมีสมาชิกบัตร PT Max Card เพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านราย
นายพิทักษ์ กล่าวอีกว่า บริษัทยังคงเป้ารายได้รวมแตะ 1.4 แสนล้านบาทในปีนี้ จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 1.08 แสนล้านบาท ตัวแปรสำคัญคือราคาขายปลีกน้ำมันถ้าหากย่อตัวลงอาจกระทบรายได้รวมไปบ้าง แต่ไม่ได้มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่ออัตราการเติบโตของกำไร และแม้ว่ามีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว แต่ล่าสุดยอดขายน้ำมันในสถานีบริการเดิม (same store sales growth) กลับมีอัตราเติบโต 6-7% นับเป็นสัญญาณที่ดีของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการซ้ำ และคาดว่าจะเห็นการเติบโตเช่นนี้ต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งปีหลัง
ขณะที่บริษัทเดินหน้าขยายสถานีบริการน้ำมัน โดยในครึ่งปีแรกมีจำนวนสถานีบริการน้ำมันอยู่ที่ 1,957 แห่งทั่วประเทศ และคาดว่าสิ้นปีนี้จะขยายเป็นไม่ต่ำกว่า 2,000 แห่ง พร้อมขยายธุรกิจ non-oil เข้าไปในสถานีบริการน้ำมันแล้ว 570 สาขา และในสิ้นปีนี้จะเพิ่มเป็นไม่น้อยกว่า 700 สาขา ประกอบด้วย ร้านสะดวกซื้อ Max Mart, ร้านกาแฟพันธุ์ไทย, ร้านคอฟฟี่เวิลด์, ร้านข้าวแกง ครัวบ้านจิตร, ร้านซ่อมบำรุงสำหรับรถบรรทุก, Autobacs และ Max CAMP เป็นต้น
"เรามีแผนขยายสถานีบริการเพิ่มเป็นไม่ต่ำกว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งเราก็ลุ้นว่าสิ้นปีนี้มีโอกาสที่สถานีบริการ PT ก้าวขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งในทุกๆช่องทางของจำนวนสถานีบริการทั้งน้ำมัน ,LPG ,NGV" นายพิทักษ์ กล่าว
*ดันรายได้โตต่อเนื่องปีละ 3-4 หมื่นลบ.ก้าวสู่ 2 แสนลบ.-ชู non-oil ควบคู่ขยายปั๊มน้ำมันหนุนกำไร
นายพิทักษ์ กล่าวว่า บริษัทมีเป้าหมายเพิ่มขึ้นของรายได้เฉลี่ยปีละ 3-4 หมื่นล้านบาท ทำให้เชื่อมั่นว่าภายในปี 64 รายได้รวมจะเพิ่มขึ้นไปแตะ 2 แสนล้านบาท โดยมุ่งเน้นขยายโครงสร้างธุรกิจประเภท non-oil ในปี 65 จะเพิ่มขึ้นเป็น 60% จากปัจจุบันมีสัดส่วนเพียง 10-11% ของอัตรากำไรขั้นต้น เพื่อให้เกิด New S Curve ซึ่งเป็นการเติบโตจากธุรกิจใหม่ในอนาคต พร้อมกับยังเป็นการกระจายความเสี่ยงไม่ต้องผูกกับความผันผวนของราคาน้ำมันและนโยบายค่าการตลาดจากทางภาครัฐ
นายพิทักษ์ กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจ non-oil มีอัตราการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะธุรกิจประเภท Food&Beverage และ Convenience store ครึ่งปีแรกมีอัตรากำไรขั้นต้นเติบโตเป็นเท่าตัว นอกจากนั้น ยังมีธุรกิจสถานีบริการขายปลีกก๊าซ LPG ในกลุ่มรถยนต์ เติบโตขึ้น 50% ทั้งปริมาณขายและกำไร
แม้ว่าภาพรวมอุตสาหกรรมขายปลีกก๊าซ LPG ในกลุ่มรถยนต์ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจะหดตัวทุกๆปี และในปี 62 คาดจะหดตัว 11-12% แต่สิ่งที่ทำให้ธุรกิจ LPG ของบริษัทเติบโตได้ คือ PT Max Card มีส่วนสำคัญในการเร่งยอดขาย ปัจจุบันบริษัทมีสถานีบริการขายปลีกก๊าซ LPG ราว 130-140 แห่ง มีเป้าหมายจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 50-70 แห่งต่อปี เช่นเดียวกับธุรกิจจำหน่ายน้ำมันเครื่อง PT Maxnitron มีอัตราการเติบโตขึ้นเฉลี่ย 20% ทุกปี สะท้อนว่าผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นสินค้าและเป็นที่ยอมรับมากขึ้นต่อเนื่อง
"ธุรกิจขายปลีกน้ำมันมีส่วนต่างกำไรเพียง 1% เศษๆเท่านั้น แต่ธุรกิจ non-oil ส่วนต่างกำไรเป็นตัวเลขถึง 2 หลัก ถ้าในอนาคตสัดส่วนธุรกิจ non-oil สูงขึ้น ช่วยหนุนผลประกอบการบริษัทเติบโตยั่งยืน เราไม่ต้องกังวลกับปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น ค่าการตลาด แนวทางกระจายในธุรกิจหลากหลาย จะสร้าง New S Curve ให้กับบริษัทในอนาคต"นายพิทักษ์ กล่าว
*"ปาล์ม คอมเพล็กซ์"เดินเครื่อง 100% หนุนผลงานโตต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีนี้
ส่วนความคืบหน้าโครงการปาล์ม คอมเพล็กซ์ ปัจจุบันบริษัทได้เดินเครื่องแล้ว 80% และคาดว่าจะเดินเครื่องเต็ม 100% ได้ในช่วงปลายปีนี้ สามารถสร้างผลกำไรได้ 500-600 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะรับรู้กำไรตามสัดส่วนถือหุ้น 40% ขณะที่ได้รับประโยชน์จากต้นทุนต่ำลงในส่วนการกลั่นน้ำมันไบโอดีเซล B100 เกรดพรีเมียม และในปี 2563 เชื่อเป็นอีกหนึ่งปีที่ดีเพราะรับรู้กำไรเต็มปีของโครงการปาล์ม คอมเพล็กซ์
สำหรับโครงการปาล์มคอมเพล็กซ์ มีกำลังการผลิตไบโอดีเซล B100 เกรดพรีเมียม 500,000 ลิตรต่อวัน และน้ำมันปาล์มเพื่อบริโภค (โอเลอีน) 200,000 ลิตรต่อวัน และผลิตกลีเซรีนบริสุทธ์ 99.7% อย่างไรก็ตาม มีแผนขยายเพิ่มในเฟสสองช่วงปี 2564-2565 หนุนให้กำลังการผลิตไบโอดีเซล B100 เกรดพรีเมียมเพิ่มเป็น 1 ล้านลิตรต่อวัน
นายพิทักษ์ กล่าวว่า ภายหลังจากรัฐบาลใช้นโยบายสนับสนุนออกมาตรปรับใช้ B20 หวังแก้ไขปัญหาราคาปาล์มในประเทศตกต่ำและล้นตลาดในช่วงเดือน ก.พ.62 บริษัทตัดสินใจเพิ่มให้บริการน้ำมัน B20 ในเดือนมี.ค. จนล่าสุดได้ขยายให้บริการ B20 ไปแล้วกว่า 500 แห่ง โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดปริมาณใช้ B20 ของทั้งประเทศสูงถึง 35%
แต่นโยบายดังกล่าวรัฐบาลขยายระยะเวลาสิ้นสุดในเดือน ก.ย.62 ถ้ารัฐบาลขยายอายุมาตรการ ก็อาจพิจารณาเพิ่มการให้บริการ B20 ในสถานีบริการน้ำมันเป็นไม่ต่ำกว่า 700-800 แห่งได้ภายในสิ้นปีนี้
ปัจจุบันกระแสการตอบรับของประชาชนใช้ B20 ค่อนข้างดี เพราะราคาถูกกว่าน้ำมันดีเซล ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นรวดเร็ว และอีกมุมหนึ่งคือช่วยค่าใช้จ่ายลดลง เพราะบริษัทมีโครงการปาล์ม คอมเพล็กซ์ ที่สามารถกลั่นไบโอดีเซลเกรดพรีเมี่ยมได้ ช่วยประหยัดต้นทุนและเสริมศักยภาพทำกำไรได้อย่างมีนัยสำคัญ
"ถ้ารัฐเลิกอุดหนุนใช้ B20 ก็ยังมี B7 และB10 โดยในช่วง พ.ย.63 ก็มีแนวทางว่าจะยกเลิก B7 มาใช้ B10 แทน ถึงเวลานั้นปริมาณการใช้ไบโอดีเซลยังเยอะขึ้นเช่นเดิม ไม่ได้มีผลกับยอดขายของบริษัทเลย"นายพิทักษ์ กล่าว
*ยันไม่มีแผนเพิ่มทุน โต้ข่าวลือหนี้ท่วม
นายพิทักษ์ กล่าวถึงกระแสข่าวลือเกี่ยวกับระดับหนี้ของ PTG เร่งขึ้นมาสูง ปัจจุบันบริษัทมีระดับหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 2.4 เท่า แต่การเพิ่มขึ้นของหนี้ ยืนยันว่าเป็นสิ่งที่บริษัทควบคุมได้ ไม่ได้มีความกังวล ถ้าหากแยกหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยจะประมาณ 1 หมื่นล้านบาท คิดเป็น D/E อยู่ที่ 1.6 เท่า มองว่าบริษัทมีศัยภาพเพียงพอกับการชำระหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ย สถานการณ์กำไรปีนี้คาดเติบโตชัดเจน
แม้ว่าในปีนี้บริษัทจะเพิ่มเงินลงทุนเป็น 4,000-4,500 ล้านบาท จากเดิม 3,500 ล้านบาท มีแหล่งเงินทุนมาจากการดำเนินงาน และการลงทุนในปีนี้จะเป็นส่วนช่วยผลักดันให้เกิดการเติบโตต่อเนื่องในปีถัดๆไป จะทำให้เห็นระดับ D/E ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปี2563 พร้อมกับยืนยันด้วยว่า ไม่มีแนวคิดที่จะเพิ่มทุนตามกระแสข่าวลือที่ออกมา เพราะบริษัทไม่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง
https://youtu.be/xnpX2fjdF58