นางสมฤดี ชัยมงคล ซีอีโอ บมจ.บ้านปู (BANPU) เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า สาเหตุที่บริษัทอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนในรอบนี้ เนื่องจากมีความเชื่อมั่นว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในระยะยาวเติบโตอย่างมั่นคง และช่วงครึ่งปีแรกบริษัทได้รับเงินปันผลจากบริษัทลูกจำนวนกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งนอกจากใช้ซื้อหุ้นคืนแล้วก็นำไปจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราที่ดี ส่วนงบลงทุนที่ใช้ขยายกิจการตามแผน บริษัทได้เตรียมไว้แล้วทั้งธุรกิจพลังงานทดแทน ,ธุรกิจก๊าซธรรมชาติในสหรัฐ และธุรกิจเทคโนโลยีด้านพลังงาน
ทั้งนี้ วันที่ 29 ส.ค.62 คณะกรรมการบริษัทอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนของบริษัทเพื่อการบริหารทางการเงิน (Treasury Stocks) ภายในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 5,000 ล้านบาท และจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 385 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 7.5% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยจะเป็นการเข้าซื้อในตลาดหลักทรัพย์ฯ และมีกำหนดระยะเวลาซื้อหุ้นคืน 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 13 ก.ย.62 ถึงวันที่ 10 มี.ค.63 พร้อมจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.35 บาทต่อหุ้น วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 11 ก.ย.62 วันที่จ่ายปันผล 27 ก.ย.62 จ่ายปันผลจากงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค.62 ถึงวันที่ 30 มิ.ย.62 และกำไรสะสม
นางสมฤดี กล่าวว่า ปัจจุบันาภาวะตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบอย่างมากจากปัจจัยเสี่ยงสงครามการค้าสหรัฐฯและจีน ซึ่งทำให้ราคาหุ้น BANPU ปรับตัวลดลงไปด้วย แนวทางการบริหารสภาพคล่องบริษัทจึงนำเงินมาซื้อหุ้นคืน เพื่อช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นในแง่ของอัตรากำไรต่อหุ้น (EPS)
นอกจากนั้น ยังมองว่า BANPU มีมูลค่าทางบัญชี (book value) อยู่ที่ 15.50 บาท/หุ้น สูงกว่าราคาหุ้นซื้อขายในกระดาน แม้ว่านักวิเคราะห์และนักลงทุนจะให้มุมมองกับ BANPU ว่ามีรายได้จากธุรกิจถ่านหินเป็นสัดส่วนสูง ทำให้มีความเสี่ยงต่อทิศทางกำไรระยะสั้น แต่อยากให้พิจารณาว่าผลประกอบการไตรมาส 2/62 ได้รับผลกระทบจากการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากเงินบาทในช่วง มี.ค.-มิ.ย.62 แข็งค่าขึ้นมาถึง 1.20 บาท/เหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับในช่วงไตรมาส 1/62 ทำให้ต้องบันทึกขาดทุนไปถึง 42 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ผลกระทบดังกล่าวเป็นแค่การบันทึกตัวเลขทางบัญชีเท่านั้น เป็นสิ่งสะท้อนว่าแม้กำไรจะลดลง แต่กระแสเงินสดไม่ได้รับผลกระทบไปด้วย
"อยากให้นักลงทุนคำนึงถึงพื้นฐานมากกว่า แต่ก็เข้าใจว่ากำไรระยะสั้นที่ลดลง เป็นสิ่งที่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุน แต่ถ้ามองในด้านกระแสเงินสด บริษัทมีฐานนะที่มีความมั่นคงและแข็งแรงสามารถตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้รูปแบบปันผลและซื้อหุ้นคืน ล่าสุดบริษัทมีกำไรสะสมสูงกว่า 1.9 หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันอยากชี้แจงประเด็นที่นักวิเคราะห์ที่มีมุมมองความเสี่ยงโดยนำตัวเลขจากโครงสร้างรายได้มาเปรียบเทียบซึ่งปัจจุบันธุรกิจถ่านหินมีสัดส่วนกว่า 80-90% ของรายได้รวม อย่ามองแค่ด้านรายได้เพียงอย่างเดียว เพราะอาจทำให้เข้าใจคาดเคลื่อนได้ อยากให้มองเชิงของกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย หรือ EBITDA มากกว่าที่ปัจจุบันธุรกิจไฟฟ้ามีสัดส่วน 50% และถ่านหินเกือบ 50% ของ EBITDA โดยรวม สะท้อนว่ากำไรไม่ได้ถูกถ่วงน้ำหนักจากธุรกิจถ่านหินเพียงอย่างเดียวเหมือนกับนักวิเคราะห์บางรายที่เขียนออกมา"นางสมฤดี กล่าว
สำหรับแผนขยายการลงทุนยังคงดำเนินการต่อเนื่อง โดยธุรกิจก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯที่ตั้งงบลงทุน 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่เตรียมใช้ในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปี 63 ในระหว่างนี้มีการหารือกับทีมงานเกี่ยวกับแนวทางซื้อกิจการหรือลงทุนในก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติม เพราะเป็นจังหวะที่ราคาก๊าซธรรมชาติปรับตัวลดลง
ส่วนแผนขยายโรงไฟฟ้า ก็ดำเนินตามแผน ล่าสุดในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาเริ่มรับรู้รายได้จากการ จ่ายไฟเชิงพาณิชย์ (COD) โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในจีน กำลังผลิต 25 เมกะวัตต์ ซึ่งทาง BANPU ถือหุ้น 100% ทำให้รับรู้รายได้และกำไรในไตรมาส 3/62 ส่วนโครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังลมที่ได้ใบอนุญาตจากรัฐบาลเวียดนามแล้ว 200 เมกะวัตต์ เฟสแรกพัฒนาโรงไฟฟ้า 60-80 เมกะวัตต์ ล่าสุดเริ่มดำเนินการจัดหาเงินกู้ คาดว่าจะ COD ได้ในไตรมาส 4/63 ขณะที่แผนขยายโรงไฟฟ้าก๊าซและถ่านหินยังคงอยู่ในแผน แต่เป็นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่จึงจำเป็นต้องใช้เวลาการก่อสร้าง ดังนั้น ในระยะสั้นจึงมุ่งเน้นขยายพลังงานทดแทนเป็นขนาดเล็กไปก่อน เพื่อสร้างผลกำไรเติบโตได้ต่อเนื่อง
สำหรับทิศทางราคาถ่านหินในช่วงที่เหลือของปีนี้อาจต่ำกว่าที่เคยคาดว่าจะอยู่ที่ 75 เหรียญสหรัฐ/ตัน โดยล่าสุดราคาถ่านหินลงมาอยู่ที่ 65 เหรียญสหรัฐ/ตัน เป็นผลกระทบจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวหลังเกิดปัญหาสงครามการค้า น่าจะเป็นส่วนหนึ่งกดดันผลประกอบการบริษัทปีนี้ อย่างไรก็ตาม บริษัทจะพยายามเร่งทำกำไรในธุรกิจอื่นเพื่อมาเพิ่มเติมในพอร์ตเพื่อลดผลกระทบจากราคาถ่านหินลดลง
https://youtu.be/5ETqvQJZ-fU